วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562

ตรวจสอบและทบทวน

ตรวจสอบและทบทวน

          ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้นั้นการเรียนรู้จากสื่อดิจิทัลปฏิบัติการผลิตหรือจัดหาสื่อที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการวางแผนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ที่ได้ดำเนินการแล้วการนำเสนอสาระความรู้ในรูปแบบดิจิทัลอาทิ Power point

   >แผนการจัดการเรียนรู้จากสื่อดิจิทัล


   >สื่อดิจิทัล

ตรวจสอบทบทวน

ตรวจสอบทบทวน(Review and Reflect on your learning)

        ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้น การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล ปฏิบัติการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ด้วยเขียนแผนการสอนตามรูปแบบ The STUDIES Model ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสาขาวิชาเอกที่เรียน โดยกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ และจัดหาหรือผลิตสื่อการเรียนรู้ประกอิบบทเรียน

>>>  กิจกรรมการเรียนรู้
 ขั้นที่ 1 N ( needs assessment ) จุดมุ่งหมายการเรียนรู้
                S : Setting Learning Goals กำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้
1. การวางแผนการเรียนรู้
1.1. ครูแสดงภาพสัตว์ที่เป็น แม่ ลูก (ยกตัวอย่างภาพสุนัขพ่อ แม่ ลูก) ให้นักเรียนพิจารณาประกอบ การใช้คำถามเพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียน ดังนี้
1.2.  นักเรียนคิดว่าสุนัขในภาพน่าจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เพราะเหตุใดจึงคิดเช่นนั้น     (เป็นพ่อ แม่ ลูกกัน เพราะสุนัขมีสีเหมือนกัน ลักษณะหน้าตาคล้ายกัน )                    

T : Task Analysis วิเคราะห์ภาระงาน
1. การวิเคราะห์ภาระงาน
1.1. ครูตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โดยให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น โดยใช้คำถาม ดังนี้
2. การออกแบบและพัฒนาภาระงาน
2.1. นักเรียนมีลักษณะใดเหมือนพ่อบ้าง (ตามประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนและดุลยพินิจของ ( ครูผู้สอน)
2.2.   นักเรียนมีลักษณะใดเหมือนแม่บ้าง(ตามประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน             
2.3.  นักเรียนมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนหรือแตกต่างจากพ่อแม่(มีทั้งเหมือนและแตกต่าง พ่อแม่ แต่ลักษณะที่แตกต่างไปจากพ่อแม่อาจมีลักษณะที่ถ่ายทอดมาจากปู่ ย่า ตา ยายได้)
2.4.  ลักษณะทางพันธุกรรมคืออะไร(ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก เช่น สีตา สีผม ความสูง สีผิว)
2.5.   การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมหมายถึงอะไร(การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม หมายถึง การถ่ายทอดลักษณะบางอย่างของสิ่งมีชีวิตจากพ่อแม่สู่ลูก)
        
ขั้นที่ 2 P ( practice ) การปฏิบัติ
U  : Universal Design for Instruction การออกแบบการสอนที่เป็นสากล
1. การจัดการเรียนสอนที่มีประสิทธิภาพให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วมร่วมกันโดยการตอบคำถามร่วมกัน ยึดหลักเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ก่อนดูวีดีทัศน์การเรียนรู้
  D : Digital Learning การเรียนรู้จากสื่อดิจิตอล
1. การเลือกและพัฒนาสื่อการเรียนรู้
1.1.  ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มดูวีดีทัศน์สื่อการเรียนรู้จากYoutube ที่เตรียมไว้
    I :  Integrated Knowledge การบูรณาการความรู้
1. การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
1.1.  ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ออกแบบและนำผลการสืบค้นมาจัดทำในรูปแบบแผนภาพให้าสนใจองความแตกต่างของแต่ละครอบครัว โดยการบูรณาการจากความรู้มาเป็นแผนภาพ

ขั้นที่ 3 U ( understanding ) ตรวจสอบความเข้าใจระดับคุณภาพเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์
 E : Evaluation to Improve Teaching การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน
1. การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน
1.1. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการนำเสนอของแต่ละกลุ่มในประเด็น ดังนี้
             ความเหมือนและความแตกต่างเกี่ยวกับความหมาย และลักษณะการถ่ายทอดลักษณะทาง    พันธุกรรมของมนุษย์
1.2.  ครูอธิบายเพิ่มเติม แล้วชมสื่อดิจิตอลเสริมการเรียนการสอน 8 สาระ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3  ทำไมลูกจึงเหมือนพ่อแม่ เพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน
1.3.  ให้นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับความหมายของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย์ที่สามารถถ่ายทอดได้ ให้ได้ประเด็นตามจุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน
S  :  Standard Based Assessment  การประเมิณอิงมาตรฐาน
                1. ให้นักเรียนประเมินผลตนเองโดยพูดแสดงความรู้สึกหลังการเรียนในประเด็น ดังนี้
                     1.1 สิ่งที่ได้จากการเรียน
                     1.2 สิ่งที่ประทับใจในการเรียน
                     1.3 สิ่งที่ต้องการทราบเพิ่มเติม
                 2. ครูประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน ดังนี้ 
                     2.1. สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนขณะทำงาน  ร่วมกันสังเกตการตอบคำถามของนักเรียน        ในชั้นเรียน ศึกษาผลการประเมินตนเองของนักเรียนจากการพูดแสดงความรู้สึกหลังเรียน ประเมินการสืบค้น ประเมินแผนภาพ และประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยใช้แบบประเมินตามสภาพจริง      


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

สรุป

สรุป
          การบูรณาการเป็นการนําศาสตร์ สาขาวิชาต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เนื้อหาวิชาต่างๆ ที่ใกล้เคียงกันหรือเกี่ยวข้องกันควรนํามาเชื่อมโยงกัน เพื่อให้เรียนรู้อย่างมี ความหมาย ลดความซ้อนเชิงเนื้อหาวิชา แนวคิดสําคัญที่ผู้สอนจะนํามาใช้เป็นเทคนิคในการจัดกิจกรรม กระตุ้นให้ผู้เรียนได้นําข้อมูลหลากหลายที่เกิดจากการเรียนรู้ไปสัมพันธ์เชื่อมโยงก็คือแนวคิดเกี่ยวกับ การบูรณาการ” เหตุที่ต้องจัดให้มีการบูรณาการหลักสูตรและการเรียนการสอนคือ ในชีวิตของคนเราม เรื่องราวต่างๆ ที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกันไม่ได้แยกออกจากกันเป็นเรื่องๆ เมื่อมีการบูรณาการเข้ากับชีวิตจริง โดยการเรียนรู้ในสิ่งที่ใกล้ตัวแล้วขยายกว้างออกไปผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นและเรียนรู้อย่างมีความหมาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ ความคิด ความสามารถและทักษะที่หลากหลาย

การวางแผนการจัดทำแผนแบบบูรณาการ

การวางแผนการจัดทำแผนแบบบูรณาการ

          การจัดทำแผนการสอนแบบบูรณาการ เป็นการนำวิชาการต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันมาเชื่อมโยงกัน ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างหัวข้อเรื่องที่มีความสอดคล้องกับวิชานั้น ๆ เข้าด้วยกัน ผู้สอนต้องคำนึงสิ่งต่อไปนี้
          1. การเลือกหัวเรื่อง จากประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องการเรียน เช่น ประเด็นแนวคิด ประเด็นของเนื้อหา เมื่อได้แล้วนำจุดประสงค์ของแต่ละรายวิชา ที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียน เข้ามาสร้างเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการ
          2. การนำจุดประสงค์ของรายวิชาต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันมาสร้างเป็นหัวข้อเรื่องและนำมาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการ

ประโยชน์ของการบูรณาการ

ประโยชน์ของการบูรณาการ
          1. เป็นการนำวิชาหรือศาสตร์ต่าง ๆ เชื่อมโยงกันภายใต้หัวข้อเดียวกัน
          2. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนที่ลึกซึ้ง และมีลักษณะใกล้เคียงกับชีวิตจริง 
          3. ช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในลักษณะองค์รวม
          4. ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ ความเข้าใจ จากสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัว
          5. เป็นแนวทางที่ช่วยให้ครูได้ทำงานร่วมกัน หรือประสานงานร่วมกันอย่างมีความสุข
          6. ส่งเสริม สนับสนุนให้ครูได้คิดวิธีการหรือนำเทคนิคใหม่ ๆ มาใช้

หลักการและทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง


หลักการและทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง

ทฤษฎีการเรียนรู้ปัญญานิยม (Cognitive Theory)
          สุรางค์ โค้วตระกูล. (2537 : 149 – 159) ได้กล่าวถึงนักจิตวิทยากลุ่ม เกสตัลท์ (Gestalt Psychologist : 1920-1930) ได้แก่ จอง พีอาเจต์ Jean Piaget) โจโรม เอสบรูเนอร์ (Jerome S. Bruner) และ เดวิด พี. อ๊อสชุเบล (David P. Ausuber) ซึ่งให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าต้องเกิดจากตัวผู้เรียนเอง กล่าวคือ จะเน้นความสัมพันธ์ของส่วนย่อย โดยเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของส่วนย่อยส่วนใดส่วนหนึ่งจะมีผลต่อส่วนรวม และจากการทำการวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้ได้ข้อสรุปว่า การรับรู้ของคนส่วนมากจะเป็นอัตวิสัย (Subjective) ซึ่งเน้นความสำคัญของผู้เรียนว่าจะต้องเป็นผู้ลงมือกระทำหรือเป็นผู้ที่ริเริ่มและกระตือรือร้น เรียนรู้ด้วยการหยั่งรู้(Insight) ซึ่งเป็นการอธิบายถึงกระบวนการรู้คิด (Cognitive Process)ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเรียนรู้ ผู้เรียนได้มองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งเร้าที่เป็นสิ่งแวดล้อมของปัญหาที่ตนกำลังเผชิญอยู่ นักจิตวิทยากลุ่มนี้จะเน้นการศึกษาเกี่ยวกับการรู้คิดและความสำคัญของผู้เรียน โดยถือว่าการเรียนรู้เป็นผลของการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
          พีอาเจต์ เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนรู้เป็นผู้ริเริ่ม เป็นผู้กระทำที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าหรือสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ลงมือกระทำให้เกิดขึ้น (Active) ซึ่งสอดคล้องกับดุย (Dewey) ที่กล่าวว่า "Learning by Doing"ซึ่ง พีอาเจต์กล่าวว่า เมื่อเกิดการเรียนรู้ขึ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างสติปัญญา (Cognitive Structure) ของผู้เรียน ซึ่งการนำทฤษฎีของพีอาเจต์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนจะเน้นหลักการต่างๆ ดังนี้
             1. กระบวนความคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ ผู้เรียนแต่ละวัยจะมีลักษณะการคิดที่แตกต่างกัน ผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจผู้เรียนแต่ละวัยว่ามีการรู้คิดอย่างไร
             2. เน้นความสำคัญของผู้เรียน ผู้เรียนจะสามารถควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองได้ (Self – Regulation) และเป็นผู้ที่จะริเริ่มลงมือกระทำ ผู้สอนมีหน้าที่อบรมและจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้โดยการค้นพบ ให้โอกาสผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
             3. ในการสอนควรเริ่มจากประสบการณ์ที่ผู้เรียนคุ้นเคยหรือเริ่มจากประสบการณ์ที่ใกล้ตัวไปหาประสบการณ์ที่ไกลตัว เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความเข้าใจ
          บรูเนอร์ เชื่อว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้ประมวลข้อมูลข่าวสารจากการที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม การรับรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้เรียนที่มีต่อสิ่งนั้นๆการเรียนรู้จะเกิดจากการค้นพบ เนื่องจากผู้เรียนมีความอยากรู้อยากเห็น บรูเนอร์ กล่าวไว้ว่า วิธีการที่ ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้มี 3 ขั้น คือ วิธีการที่ใช้รูปธรรม (Enactive Mode) วิธีการที่ใช้กึ่งสัญลักษณ์ (Iconic Mode) และวิธีการที่ใช้สัญลักษณ์ (Symbolic Mode) และเชื่อว่าถ้าผู้สอนเข้าใจพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของผู้เรียนและจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ตามขั้นพัฒนาการของตน
          อ๊อสซุเบล เน้นความสำคัญของการเรียนรู้อย่างมีความเข้าใจและมีความหมาย การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนได้รวมหรือเชื่อมโยง (Subsume) สิ่งที่เรียนรู้ใหม่ซึ่งอาจจะเป็นความคิดรวบยอดหรือความรู้ที่ได้รับใหม่ไว้ในโครงสร้างของสติปัญญาหรือความรู้เดิมที่อยู่ในสมองของผู้เรียน ซึ่งอ๊อสซุเบล ได้แบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 4 ประเภท คือ การเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย (Meaning Reception Learning) การเรียนรู้โดยการรับแบบท่องจำโดยไม่คิด (Rote Reception Learning) การเรียนรู้โดยการค้นพบอย่างมีความหมาย (Meaningful Discovery Learning) การเรียนรู้โดยการค้นพบแบบท่องจำโดยไม่คิด (Rote Discovery Learning)

ทฤษฏีพหุปัญญา (Multiple Intelligences Theory)
          Gardner. (อ้างถึงใน สิริพัชร์  เจษฎาวิโรจน์2546 : 12) ได้เป็นผู้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความสามารถทางสติปัญญาด้านต่างๆ เรียกว่า ทฤษฏีพหุปัญญา โดยสรุปไว้ว่า คนทุกคนมีความสามารถทางสติปัญญาหลายด้านและแตกต่างกันสามารถนำสติปัญญาไปใช้ในการสร้างสรรค์และแก้ปัญหาต่างๆ สติปัญญาในแต่ละด้านเป็นอิสระซึ่งกันและกันและทุกคนสามารถพัฒนาสติปัญญาเหล่านี้ได้ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียนครูผู้สอนควรจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสติปัญญาที่หลากหลายเหล่านี้ด้วยการใช้วิธีสอนหลายวิธีและหลายรูปแบบให้นักเรียนปฏิบัติได้สอดคล้องกับความสามารถทางสติปัญญาด้านต่างๆของตน
          ความสามารถทางสติปัญญา 8 ด้าน ได้แก่
             1. สติปัญญาด้านภาษา เป็นความสามารถในการใช้ทักษะทางภาษา การแสดงออก การเข้าใจถ้อยคำ และศิลปะในการสื่อสารกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมสติปัญญาด้านนี้ ได้แก่ การเล่าเรื่อง การพูดในโอกาสต่าง การฟัง เขียนบทความ หรือนิทาน การเขียนเชิงสร้างสรรค์
             2. สติปัญญาด้านการใช้เหตุผลและคณิตศาสตร์ เป็นความสามารถในการคิดหาเหตุผล มีความเข้าใจในความสัมพันธ์ของการกระทำ วัตถุ และความคิดมีความสามารถในการ คำนวณ การพิจารณาปัญหาและแก้ปัญหา คิดวิเคราะห์ กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมด้านนี้ได้แก่ การฝึกแก้ปัญหา การใช้เหตุผล เล่นเกมฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์
             3. สติปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ เป็นความสามารถด้านการมองเห็นสิ่งต่างๆ สร้างสิ่งที่สร้างสรรค์หรือจินตนาการภายในใจ เข้าใจภาพหลายมิติ การออกแบบ การเดินเรือและสถาปัตยกรรม กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมสติปัญญาด้านนี้ได้แก่ การสร้างสรรค์ภาพ การสร้างรูปแบบ การใช้สัญลักษณ์ กราฟฟิค การใช้แผนภูมิ การทำแผนผังความคิด แผนที่การสร้างรูปบ็ลอค
             4. สติปัญญาด้านการเคลื่อนไหวด้านร่างกายและกล้ามเนื้อ เป็นความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกาย การแสดงออกทางอารมณ์ ภาษาท่าทางและการออกกำลังกาย กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมด้านนี้ คือการใช้ร่างกายเป็นสื่อในการเรียนการสอน แสดงท่าทาง แสดงละคร แสดงบทบาทสมมุติ เล่นเกม การศึกษานอกสถานที่ และการรำหรือทำท่าทางประกอบเพลงหรือเสียงดนตรี
             5. สติปัญญาด้านดนตรี เป็นความสามารถเกี่ยวกับท่วงทำนอง จังหวะ ระดับเสียงสูงต่ำ สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ ร้องเพลงร่วมกับผู้อื่นได้ กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมสติปัญญาด้านนี้ คือใช้เพลงหรือดนตรีประกอบในการปฏิบัติ กิจกรรม ให้ดนตรีช่วยสร้างภาพในสมอง การแต่งเพลง ใช้เครื่องเคาะจังหวะดนตรี
             6. สติปัญญาด้านการเข้าใจผู้อื่น เป็นความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เข้าใจในอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดและพฤติกรรมผู้อื่น สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เป็นผู้นำ ยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมด้านนี้ได้แก่ การทำกิจกรรมในรูปแบบการร่วมมือ การทำงานกลุ่ม การอยู่ค่ายพักแรม
             7. สติปัญญาด้านการเข้าใจตัวเอง เป็นความสามารถในการรู้จักและเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวเอง เช่น ความรู้สึก ค่านิยม ความเชื่อ การรับรู้ การคิด กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมด้านนี้ คือการสร้างแรงจูงใจจากภายใน การศึกษาอิสระ การพูดหรือเขียนบทความเกี่ยวกับประสบการณ์ของตน การฝึกประเมินตนเอง
             8. สติปัญญาด้านการเข้าใจธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมรอบตัวศึกษาธรรมชาติอย่างมีระบบ(มีต่อค๊า..โปรดติดตาม หลักการและขั้นตอนการออกแบบการสอนแบบบูรณาการห้ามพลาดนะคะ มีสาระและประโยชน์มากมายนำมาฝากค่ะ)

ลักษณะของการบูรณาการ

ลักษณะของการบูรณาการ 

ลักษณะของการบูรณาการ มีลักษณะโดยสรุป  ดังนี้
          1. การบูรณาการเชิงเนื้อหาสาระ เป็นการผสมผสานเชื่อมโยงเนื้อหาสาระ ในลักษณะการหลอมรวมกันโดยการตั้งเป็นหน่วย (  Unit ) หรือหัวเรื่อง ( Theme )
          2. การบูรณาการเชิงวิธีการ  เป็นการผสมผสานวิธีการสอนแบบต่าง ๆ เข้าในการสอน  โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลายวิธี  การสนทนา การอภิปราย  การใช้คำถาม  การบรรยาย  การค้นคว้าและการทำงานกลุ่ม  การไปศึกษานอกห้องเรียน  และการนำเสนอข้อมูลเป็นต้น
          3. การบูรณาการความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ โดยออกแบบการเรียนรู้ให้มีทั้งการให้ความรู้และกระบวนการไปพร้อม ๆ กัน เช่น กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา และ กระบวนการสร้างความคิดรวบยอดเป็นต้น
          4. การบูรณาการความรู้  ความคิด  กับคุณธรรม  โดยเน้นทั้งพุทธิพิสัยและจิตพิสัยเป็นการเรียนที่สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมไปพร้อม ๆ กัน  เพื่อที่นักเรียนจะได้เป็น ผู้มีความรู้ คู่คุณธรรม 
          5. การบูรณาการความรู้กับการปฏิบัติ เน้นการปฏิบัติจริง ควบคู่ไปพร้อมๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
          6. การบูรณาการความรู้ในโรงเรียนกับชีวิตจริงของนักเรียน พยายามให้เด็กได้เรียนรู้เนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เห็นคุณค่าและความหมายในสิ่งที่เรียน (สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์.  2546: 25)

กรอบแนวความคิดการสอนแบบบูรณาการ

กรอบแนวความคิดการสอนแบบบูรณาการ

การสอนแบบบูรณาการ มีกรอบแนวความคิด ดังนี้
          1. ศาสตร์ทุกศาสตร์ไม่อาจแยกจากกันโดยเด็ดขาดได้ เช่นเดียวกับวิถีชีวิตของคนที่ต้องดำรงอยู่อย่างประสานกลมกลืนเป็นองค์รวม การจัดให้เด็กได้ฝึกทักษะและเรียนรู้เนื้อหาต่าง ๆ อย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน จะทำให้การเรียนรู้มีความหมายสอดคล้องกับชีวิตจริง
          2. การจัดการเรียนรู้อย่างบูรณาการ จะช่วยลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาวิชา ลดเวลาการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นการแบ่งเบาภาระในการสอนของครู
          3. การเรียนแบบบูรณการ ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ความคิด ประสบการณ์ความสามารถและทักษะต่างๆ อย่างหลากหลาย ก่อให้เกิดการเรียนรู้ทักษะกระบวนการและเนื้อหาสาระไปพร้อมๆ กัน

ความหมายการสอนแบบบูรณาการ

ความหมายการสอนแบบบูรณาการ
            สำหรับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ(Integrated Management) หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามความสนใจ ความสามารถ โดยเชื่อมโยงเนื้อหาสาระของศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สามรถนำความรู้ ทักษะ และเจตคติไปสร้างงาน แก้ปัญหาและใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยตนเอง
           หลักสูตรบูรณาการ(Integrated Curriculum) หมายถึง การรวมเนื้อหาสาระของวิชาต่างๆ ในหลักสูตรที่มีลักษณะเหมือนกัน หรือคล้ายกันและทักษะในการเรียนรู้ ให้เชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน โดยการตั้งเป็นหัวข้อเรื่องขึ้นใหม่ และมีหัวข้อย่อยตามเนื้อหาสาระ อีกทั้งสอดคล้องกับบริบทการเรียนรู้ของสังคมอย่างสมดุล มีความหมายแก่ผู้เรียน และให้โอกาสผู้เรียนในการปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองให้มากที่สุด และการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้วิธีสอนหลายวิธี จัดกิจกรรมต่างๆในการสอนเนื้อหาสาระที่เชื่อมโยงกัน ตลอดจนมีการฝึกทักษะที่หลากหลาย (สิริพัชร์  เจษฏาวิโรจน์. 2546 : 16)
            นักวิชาการศึกษาหลายท่าน ได้กล่าวถึงความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการไว้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
          Lardizabal and Others. (1970: 141)  กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การสอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ยังผลให้เกิดการพัฒนาในด้านบุคลิกภาพในทุก ๆ ด้าน ผู้เรียนสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อทุกสถานการณ์ การแก้ปัญหานี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้พื้นฐาน การสอนแบบบูรณาการจะให้ความสำคัญกับครูและนักเรียนเท่าเทียมกัน ทำกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันแบบประชาธิปไตย
          กาญจนา คุณารักษ์.2522:21)  กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง กระบวนการหรือการปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียนรู้ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทางจิตพิสัย และพุทธิพิสัย หรือกระบวนการหรือการปฏิบัติในอันที่จะรวบรวมความคิด มโนภาพ ความรู้ เจตคติ ทักษะ และประสบการณ์ในการแก้ปัญหา เพื่อให้ชีวิตมีความสมดุล
          สุมานิน รุ่งเรืองธรรม.(2522:32) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การสอนเพื่อจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน เพื่อการเรียนรู้ที่มีความหมาย ให้เข้าใจลักษณะความเป็นไปอันสำคัญของสังคม เพื่อดัดแปลงปรับปรุงพฤติกรรมของผู้เรียนให้เข้ากับสภาพชีวิตได้ดียิ่งขึ้นย่างต่อไปนี้

          ผกา สัตยธรรม.2523:45-54) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง ลักษณะการสอนที่นำเอาวิชาต่างๆ เข้ามาผสมผสานกัน โดยใช้วิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแกนหลักและนำเอาวิชาต่าง ๆ มาเชื่อมโยงสัมพันธ์กันตามความเหมาะสม
          นที ศิริมัย.(2529:63-65) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง เทคนิคการสอนโดยเน้นความสนใจความสามารถ และความต้องการของผู้เรียน ด้วยการผสมผสานเนื้อหาวิชาในแง่มุมต่าง ๆ อย่างสัมพันธ์กัน เป็นการสร้างความคิดรวบยอดให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน และยังสามารถนำความคิดรวบยอดไปสร้างเป็นหลักการเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วย
          โดยสรุป การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนตามความสนใจ ความสามารถ และความต้องการ โดยการเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงพฤติกรรมของผู้เรียน ทั้งทางด้านสติปัญญา(Cognitive) ทักษะ (Skill) และจิตใจ (Affective)สามารถนำความรู้และทักษะที่ได้ไปแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน

การเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการ

การเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการ
          นักการศึกษาไทยได้พยายามที่จะเสนอ แนวคิดเพื่อการพัฒนาการศึกษาและการเรียนการสอนของ ไทยตลอดมา ในหนังสือนี้ได้ประมวลแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียน การสอนมานําเสนอ ได้แก่
             1. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี
             2. กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวัฒน์
             3. กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสี
             4. กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
             5. กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
             6. มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาน โดย ทิศนา แขมมณีและคณะ
             7. กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
             8. กระบวนการต่างๆ โดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
                   8.1 ทักษะกระบวนการ 9 ชั้น
                   8.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
                   8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
                   8.4 กระบวนการแก้ปัญหา
                   8.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
                   8.6 กระบวนการปฏิบัติ
                   8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์
                   8.8 กระบวนการเรียนภาษา
                   8.9 กระบวนการกลุ่ม
                   8.10 กระบวนการสร้างเจตคติ
                   8.11กระบวนการสร้นค่านิยม
                   8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ
             1. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี
             สาโรชาวศรี (255) มีนักศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและประสบการณ์สูงในวงการศึกษาท่านนี้เป็นผู้ริเริ่มจุดประกายความคิดในการนําหลักพุทธธรรมมาใช้ในการเรียนการสอนมานานกว่า 20 ปีมาเเล้วโดยการประยุกต์หลักอริยสัจ 4 อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค มาใช้เป็นกระบวนการแก้ปัญหา โดยใช้ควบคู่กับแนวทางปฏิบัติที่เรียกว่า กิจในอริยสัจ 4” อันประกอบด้วย ปริญญา(การกําหนดรู้) ปหานะ (การละ) สัจฉิกิริยา(การทําให้แจ้ง) และภาวนา (การเจริญหรือการลงมือปฏิบัติ) จากหลักทั้งสอง ท่านได้เสนอการสอนกระบวนการแก้ปัญหาไว้เป็นขั้นตอน ดังนี้
                   1. ขั้นกําหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) คือ การให้ผู้เรียนระบุปัญหาที่ต้องการเเก้ไข
                   2. ขั้นตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) คือ การให้ผู้เรียนวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และ
ตั้งสมมติฐาน
                   3. ขั้นทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) คือ การให้ผู้เรียนกําหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
ทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล
                   4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (ขั้นมรรค) คือการนําข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป
             2. กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวัฒน์
          สุมน อมรวิวัฒน์ (2524 : 196 - 199) ราชบัณฑิต สํานักธรรมศาสตร์และการเมือง สาขาการศึกษา คณะครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกิตติเมธี ของมหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมาธิราช ได้อธิบายกระบวนการกัลยาณมิตรไว้ว่า เป็นกระบวนการประสานสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อ จุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ 1. ชี้ทางบรรเทาทุกข์ 2. ชี้สุขเกษมศานกระบวนการกัลยาณมิตรใช้หลักการที่ พิสูจน์แล้วว่าเป็นหลักที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ คือหลักอริยสัจ 4 มาใช้ควบคู่กับหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งมีกระบวนการหรือขั้นตอน 8 ขั้นด้วยกันดังนี้
             2.1 หาสร้างความไว้ใจตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ได้แก่ การที่ผู้สอนวางตนให้เป็นที่น่า เคารพรัก เป็นที่พึ่งแก่ผู้เรียนได้ มีความรู้และฝึกหัดอบรมและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ สามารถสื่อสาร ชี้แจง ให้ศิษย์เกิดความเข้าใจ แจ่มแจ้ง มีความอดทน พร้อมที่จะรับฟังคําปรึกษา และมีความตั้งใจสอนด้วยความ เมตตา ช่วยให้ผู้เรียนพ้นจากทางเสื่อม
              2.2 การกําหนดและจับประเด็นปัญหา (ขั้นทุกข์)
             2.3 การร่วมกันคิดวิเคราะห์เหตุของปัญหา (ขั้นสมุทัย)
             2.4 การจัดลําดับความเข้มของระดับปัญหา (ขั้นสมุทัย)
             2.5 การกําหนดจุดหมาย หรือสภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
             2.6 การร่วมกันคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา (ขั้นนิโรธ)
             2.7 การจัดลําดับจุดหมายของภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
             2.8 การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางที่ถูกต้อง (ขั้นมรรค)
          3. กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสี
          ประเวศ วะสี (2542) นักคิดคนสําคัญของประเทศไทย ผู้มีบทบาทอย่างมากในการกระตุ้นให้ เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น ท่านได้เสนอกระบวนการทางปัญญา ซึ่งควรฝึกฝนให้แก่ผู้เรียน ประกอบด้วย ขั้นตอน 10 ขั้น ดังนี้
             3.1 ฝึกสังเกตให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตสิ่งต่างๆ ให้มาก ให้รู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว 3.2 ฝึกบันทึก ให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งต่างๆ และจดบันทึกรายละเอียดที่สังเกตเห็น
             3.3 ฝึกการนําเสนอต่อที่ประชุม เมื่อผู้เรียนได้ไปสังเกตหรือทําอะไร หรือเรียนรู้อะไรมาให้ ฝึกนําเสนอเรื่องนั้นต่อที่ประชุม
             3.4 ฝึกการฟัง การฟังผู้อื่นช่วยให้ได้ความรู้มาก ผู้เรียนจึงควรได้รับการฝึกให้เป็นผู้ฟังที่ดี
             3.5 ฝึกปุจฉา วิสัชนา ให้ผู้เรียนฝึกการถาม การตอบ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความแจ่มแจ้ง นเรื่องที่ศึกษา รวมทั้งได้ฝึกการใช้เหตุผล การวิเคราะห์และการสังเคราะห์
             3.6 ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคําถาม ให้ผู้เรียนฝึกคิดและตั้งคําถาม เพราะคําถามเป็นเครื่อง สําคัญในการได้มาซึ่งความรู้ ต่อไปจึงให้ผู้เรียนฝึกตั้งสมมติฐาน และหาคําตอบ
             3.7 ฝึกการค้นหาคําตอบ เมื่อมีคําถามและสมมติฐานแล้ว ควรให้ผู้เรียนฝึกค้นหาคําตอบ แหล่งต่างๆ เช่น หนังสือ ตํารา อินเตอร์เน็ต หรือไปสอบถามจากผู้รู้ เป็นต้น
             3. 8 ฝึกการวิจัย การวิจัยเป็นกระบวนการหาคําตอบที่จะช่วยให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ใหม่
             3.9 ฝึกเชื่อมโยงบูรณาการ บูรณาการ ให้เห็นความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเองเมื่อผู้เรียนใน เรียนรู้อะไรมาแล้ว ควรให้ผู้เรียนเชื่อมโยงให้เห็นความเป็นทั้งหมด และเกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่า สัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร อันจะทําให้เกิดมิติทางจริยธรรมขึ้น ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การอยู่ ร่วมกันอย่างสันติ
             3.10 ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ หลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องใดแล้วควรให้ผู้เรียน ฝึก เรียบเรียงความรู้ที่ได้ การเรียบเรียงจะช่วยให้ความคิดประณีตขึ้น ทําให้ต้องค้นคว้าหาหลักฐานที่มาของ ความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยําขึ้น การเรียบเรียงทางวิชาการเป็นวิธีการสําคัญในการพัฒนาปัญญาของตน และเป็น ประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป
          4. กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
          ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2542 : 4 - 5) นักรัฐศาสตร์ และราชบัณฑิต สํานักธรรมศาสตร์และ การเมือง และผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย นักคิดผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ซึ่งหันมาสนใจและพัฒนางาน ทางด้านการศึกษาอย่างจริงจัง ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการคิดไว้ว่า การคิดของคนเรามีหลาย รูปแบบ โดยท่านได้ยกตัวอย่างมา 4 แบบ และได้อธิบายลักษณะของนักคิดทั้ง 4แบบไว้ ซึ่งผู้เขียนจะขอ นํามาประยุกต์เป็นแนวทางในการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดของผู้เรียนได้ ดังนี้
             4.1 การคิดแบบนักวิเคราะห์(analytical) ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถใน การคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนแสวงหาข้อเท็จจริง (fact) ตูตรรกะ (logic) ทิศทาง (direction) หาเหตุผล (reason) และมุ่งแก้ปัญหา (problem solving)
             4.2 การคิดแบบรวบยอด (conceptual) ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถใน การคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดวาดภาพในสมองสร้างความคิดใหม่จากข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอน หรือ มองข้อมูลเดิมในแง่มุมใหม่และส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าคิด กล้าทํา
             4.3 การคิดแบบโครงสร้าง (structural thinking) การฝึกให้ผู้เรียนแยกแยะส่วนประกอบ ศึกษาส่วนประกอบ และเชื่อมโยงข้อมูล จัดเป็นโครงสร้างจะทําให้ผู้เรียนมีการคิดอย่างเป็นระบบ สามารถ ตัดสินว่า ควรจะทําอะไรอย่างไร
             4.4 การคิดแบบผู้นําสังคม (social thinking) การฝึกให้ผู้เรียนปฏิสัมพันธ์ พูดคุยกับผู้อื่น ตนเป็นผู้อํานวยความสะดวก (facilitator) ฝึกทักษะกระบวนการทํางานรวมกันเป็นทีม (group process) และฝึกให้คิด 3 ด้าน ที่เรียกว่า "PMI" คือด้านบวก (plus) ค้านเลบ ( minus) และด้านที่ไม่บวกไม่อน แต่เป็นต้น ไม่สนใจ (interesting)
          5. มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย: ทหน เพนนี และคณะ
          ทิศนา แขมมณี และคณะ (2543) ได้ศึกษาค้นคว้าและจัดมิติของการติดไว้ย ด้านคือ
             5.1 มิติด้านข้อมูลหรือเนื้อหาที่ใช้ในการคิด การคิดของบุคคลจะเกิดขึ้นได้ จึงเป็นต้อง องค์ประกอบอย่างน้อย 2 ส่วน คือ เนื้อหาที่ใช้ในการคิดและกระบวนการคิด คือต้องมีการคิดอะไร ควบคู่ไป กับการคิดอย่างไร ซึ่งเรื่องหรือข้อมูลที่คิดนั้น มีจํานวนมากเกินกว่าที่จะกําหนดได้ อย่างไรก็ตาม การจัดกลุ่ม ใหญ่ๆ ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมและข้อมูกวิชาการ  (โกวิท วรวิพัฒน์ อ้างถึงในอุ่นตา นพคุณ, 2530 : 29 - 36)
             5.2 มิติด้านคุณสมบัติที่เอื้ออํานวยต่อการคิด ได้แก่ คุณสมบัติส่วนบุคคล ซึ่งมีผลโดยตรง หรือโดยอ้อมต่อการคิดและคุณภาพของการคิด เช่น ใจกว้าง ความไม่รู้ความกระตือรือร้น ความกล้าเสียง เป็นต้น
             5.3 มิติด้านทักษะการคิด หมายถึง กระบวนการหรือขั้นตอนที่บุคคลใช้ในการติด ซึ่งจัดได้ เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน (basic thinking hills) ประกอบด้วยทักษะที่ใช้ในการสื่อสาร เช่น ทักษะการอ่าน การพูด การเขียน ฯลฯ ทักษะการคิดที่เป็นแกน (care thinking skills) เช่น ทักษะการ สังเกต การเปรียบเทียบ เชื่อมโยง ฯลฯ และทักษะการคิดขั้นสูง (higher (order thinking skill) เช่นทักษะการ นิยาม การสร้าง การสังเคราะห์ การจัดระบบ ฯลฯ ทักษะการคิดขั้นสูงมักประกอบด้วย กระบวนการ หรือ ขั้นตอนที่ซับซ้อนมากกว่าทักษะการคิดขั้นที่ต่ำกว่า
          5.4 มิติด้านลักษณะการคิด เป็นประเภทของการคิดที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งมีความเป็น นามธรรมสูง จําเป็นต้องมีการตีความให้เห็นเป็นรูปธรรม จึงจะสามารถเห็นกระบวนการหรือขั้นตอนการติด ชัดเจนขึ้น เช่น การคิดกว้าง การคิดลึกซึ้ง การคิดละเอียด เป็นต้น
          5.5 มิติด้านกระบวนการคิด เป็นการคิดที่ประกอบไปด้วยขั้นตอนหลักหลายขั้นตอน และ นําผู้คิดไปสู่เป้าหมายเฉพาะของการคิดนั้น โดยขั้นตอนหลักหล่านั้นจําเป็นต้องอาศัยทักษะการคิดย่อยๆ จานวนมากบ้างน้อยบ้าง กระบวนการคิดแก้ปัญหา กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กระบวนการวิจัย เป็น
          5.6 มิติด้านการควบคุมและประเมินการคิดของตน (nuttartnition) เป็นกระนวนการ บุคคลใช้ในการควบคุมกํากับการคิดของตนเอง มีเรียกการคิดลักษณะนี้ เป็นการคิดอย่างต่อศาสดา Irategic thinking) ซึ่งครอบคลุมการวางแผน การควบคุมค่ากับการกระทําของตนเองการตรวจสอบความก้าวหน้า และประเมินผล
          นอกจากการนําเสนอมิติการคิดข้างต้นแล้ว ทิศนา แขมมณี และคณะ (2543) ยังได้นําแสง กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ซึ่งเป็นผลจากการสังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการคิดทั้งของต่างประเทศและของประเทศไทย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
          กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
          จุดมุ่งหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
          เพื่อให้ได้ความคิดที่รอบคอบสมเหตุสมผล ผ่านการพิจารณาปัจจัยรอบด้านอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง และผ่านการพิจารณากลั่นกรอง ไตร่ตรอง ทั้งทางด้านคุณ -โทษ และคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นมาแล้ว
          เกณฑ์ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
          ผู้ที่คิดอย่างมีวิจารณญาณ จะมีความสามารถดังนี้
             1. สามารถกําหนดเป้าหมายในการคิดอย่างถูกต้อง
             2. สามารถระบุประเด็นในการคิดอย่างชัดเจน
             3. สามารถประมวลข้อมูล ทั้งทางด้านข้อเท็จจริง และความคิดเห็นเกี่ยวกับที่คิด ทั้งทางด้าน กว้าง ทางลึก และไกล
             4. สามารถวิเคราะห์ข้อมูล และเลือกข้อมูลที่จะใช้ในการคิดได้
             5. สามารถประเมินข้อมูลได้
             6. สามารถใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูล และเสนอคําตอบ/ทางเลือกที่สมเหตุสมผลได้
             7.สามารถเลือกทางเลือก/ลงความเห็นในประเด็นที่คิดได้
          วิธีการหรือขั้นตอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
             1.ตั้งเป้าหมายในการคิด
             2. ระบุประเด็นในการคิด
             3. ประมวลข้อมูล ทั้งทางด้านข้อเท็จจริง และความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิดทั้งทาง กว้าง ลึก และไกล
             4. วิเคราะห์ จําแนกแยกแยะข้อมูล จัดหมวดหมู่ของข้อมูล และเลือกข้อมูลที่จะนํามาใช้
             5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้อง ความเพียงพอ และความน่าเชื่อถือ
             6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลเพื่อแสวงหาทางเลือก/คําตอบที่สมเหตุสมผลตาม ข้อมูลที่มี
             7. เลือกทางเลือกที่เหมาสมโดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมา และคุณค่าหรือความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น
             8. ชั่งน้ำหนัก ผลได้ ผลเสีย คุณ - โทษ ในระยะสั้นและระยะยาว
             9. ไตร่ตรอง ทบทวนกลับไปมาให้รอบคอบ
             10. ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด
          6. กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
          เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2542 1 : 3 - 4 ) ผู้อํานวยการสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา(ไอเอฟดี) และนักคิดคนสําคัญของประเทศ ได้อภิปรายไว้ว่า หากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้ ไม่ถูกหลอกง่าย และสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ เราจึงจําเป็นต้องพัฒนาให้คนไทย คิดเป็น” คือรู้จักวิธีการคิดที่ถูกต้อง และท่านได้เสนอแนะว่าควรมีการพัฒนาความสามารถในการคิดใน 10 มิติ ให้แก่คนไทย โดยท่านได้ให้ความหมายของการคิดใน 10 มิติดังกล่าวไว้ ซึ่งผู้เขียนขอประยุกต์มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสําหรับครูเพื่อใช้ในการพัฒนาผู้เรียนดังนี้
             มิติที่ 1 ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ โดยฝึกให้ผู้เรียนท้าทาย และโต้แย้งข้อสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังเหตุผลที่โยงความคิดเหล่านั้น เพื่อเปิดทางสู่แนวความคิดอื่นๆ ที่อาจเป็นไปได้
             มิติที่ 2 ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ (analytical thinking) พัฒนาให้เกิดขึ้นได้โดย การฝึกให้ผู้เรียนสืบค้นข้อเท็จจริง เพื่อตอบคําถามเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง โดยการตีความ (interpretation) การจําแนกแยกแยะ (classification) และการทําความเข้าใจ (understanding) กับองค์ประกอบของสิ่งนั้นและองค์ประกอบอื่นๆ ที่สัมพันธ์กัน รวมทั้งเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (causal relationship) ที่ไม่ขัดแย้ง กันระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นด้วยเหตุผลที่หนักแน่น น่าเชื่อถือ
             มิติที่ 3 ความสามารถในการคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis type thinking)และการฝึกให้ ผู้เรียนรวมองค์ประกอบที่แยกส่วนกัน มาหลอมรวมภายใต้โครงร่างใหม่อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยพัฒนา ผู้เรียนความสามารถของผู้เรียนในการคิดเชิงสังเคราะห์ได้
             มิติที่ 4 ความสามารถในการคิดเชิงเปรียบเทียบ (comparative thinking)การฝึกให้ผู้เรียน ค้นหาความเหมือนและ/หรือความแตกต่างขององค์ประกอบตั้งแต่ 2 องค์ประกอบขึ้นไป เพื่อใช้ในการ อธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งบนมาตรการ (criteria) เดียวกัน เป็นวิธีการช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิง เปรียบเทียบได้ดี
             มิติที่ 5 ความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์ (conceptual thinking) ผู้เรียนจะสามารถพัฒนา ทักษะในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกการนําข้อมูลทั้งหมดมาประสานกันและสร้างเป็นกรอบความคิดใหม่ ขึ้นมาใช้ในการตีความข้อมูลอื่นๆ ต่อไป
             มิติที่ ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ (creative thinking) ความสามารถด้านนี้ นาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดออกนอกกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่ ทําให้ได้แนวทางใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
             มิติที่ 7 ความสามารถในการคิดเชิงประยุกต์ (Applicative linking) การติดประเภทนี้เป็น ประโยชน์ต่อชีวิตประจําวันมาก ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกนำสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่เดิมไปใช้ประโยชน์ในวัตถุประสงค์ใหม่ และปรับสิ่งที่มีอยู่เดิมให้เข้ากับบุคคล สถานที่ เวลา และเงื่อนไขใหม่ได้อย่างเหมาะสม
             มิติที่ 8 ความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ (strategic linking) ความสามารถในด้านนี้ พัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนกําหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรมที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ เพื่อบรรลุ เป้าหมายที่ต้องการ
             มิติที่ 9 ความสามารถในการคิดเชิงบูรณาการ (integrative thinking) คือการฝึกให้ผู้เรียน เชื่อมโยงเรื่องในมุมต่างๆ เข้ากับเรื่องหลักๆ ได้อย่างเหมาะสม
             มิติที่ 10 ความสามารถในการคิดเชิงอนาคต (Futuristic linking) เป็นความสามารถในการ คิดขั้นสูง ซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคาดการณ์ และประมาณการการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการใช้เหตุผลทางตรรกวิทยา สมมติฐาน ข้อมูลและความสัมพันธ์ต่างๆ ของในอดีตและปัจจุบัน เพื่อคาดการณ์ ทิศทางหรือขอบเขตทางเลือกที่เหมาะสมอีกทั้งมีพลวัตรสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
          7. กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
          โกวิท ประวาลพฤกษ์ (2532) นักวิชาการคนสําคัญท่านหนึ่งในวงการศึกษาได้เสนอความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาค่านิยมและจริยธรรมไว้ว่า ควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรม และดําเนินการสอนตามขั้นตอนดังนี้
             7.1 กําหนดพฤติกรรมทางจริยธรรมที่พึงปรารถนา
             7.2 เสนอตัวอย่างพฤติกรรมในปัจจุบัน
             7.3 ประเมินปัญหาเชิงจริยธรรม
             7.4 แลกเปลี่ยนผลการประเมิน
             7.5 ฝึกพฤติกรรมโดยมีผลสําเร็จ
             7.6 เพิ่มระดับความขัดแย้ง
             7.7 ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
             7.8 กระตุ้นให้ผู้เรียนยอมรับตัวเอง
          8. การจัดการเรียนการสอนเน้นกระบวนการ โดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
          กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เสนอแนะการจัดการเรียนการสอน 12กระบวนการด้วยกัน ดังนี้ (กรมวิชาการ 2534)
             8.1 ทักษะกระบวนการ (9 ชั้น)
             8.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
             8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
             8.4 กระบวนการแก้ปัญหา
             8.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
             8.6 กระบวนการปฏิบัติ
             8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์
             8.8 กระบวนการเรียนภาษา
             8.9 กระบวนการกลุ่ม
             8.10 กระบวนการสร้างเจตคติ
             8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
             8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ
          กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2534) ได้ให้ความหมายของการสอนที่เน้นกระบวนการไว้ว่าเป็นการสอนที่
             ก. สอนให้ผู้เรียนสามารถทําตามขั้นตอนได้และรับรู้ขั้นตอนทั้งหมดจนสามารถนําไปใช้ได้ จริงในสถานการณ์ใหม่ๆ
             ข. สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนจนเกิดทักษะ สามารถนําไปใช้ได้อย่างอัตโนมัติ
          การสอนกระบวนการจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้
             1. ครูมีความเข้าใจและใช้กระบวนการนั้นอยู่
             2. ครูนําผู้เรียนผ่านขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการทีละขั้นอย่างเข้าใจครบถ้วนครบวงจร
             3. ผู้เรียนเข้าใจและรับรู้ขั้นตอนของกระบวนการนั้น
             4. ผู้เรียนนํากระบวนการนั้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้
             5. ผู้เรียนใช้กระบวนการนั้นในชีวิตประจําวันจนเป็นนิสัย
จะเห็นได้ว่ากระบวนการเหล่านี้ผู้สอนจะต้องเป็นผู้วางแผน ทําให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการ เรียนรู้จนบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น กระบวนการที่ใช้จะเป็นกระบวนการใดก็ย่อมขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นสําคัญ
          8.1 ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น)
             1. ตระหนักในปัญหาและความจําเป็น
                   ครูยกสถานการณ์ตัวอย่างและกระตุ้นให้ผู้เรียนตระหนักในปัญหาความจะเป็นของ เรื่องที่ศึกษา หรือเห็นประโยชน์และความสําคัญของการศึกษาเรื่องนั้นๆ โดยครูอาจนําเสนอเป็นกรณีตัวอย่างหรือสถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาความขัดแย้งของเรื่องที่จะศึกษาโดยใช้สื่อประกอบ เช่น รูปภาพ วิดีทัศน์ สถานการณ์จริง กรณีตัวอย่าง สไลด์ ฯลฯ
             2. คิดวิเคราะห์วิจารณ์
                   ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิด วิเคราะห์ วิจารณ์ ตอบคำถาม ทำแบบฝึกหัด และให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่ม หรือรายบุคคล
             3. สร้างทางเลือกให้หลากหลาย
                    ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย โดยร่วมกันคิดเสนอทางเลือก และอภิปรายข้อดีข้อเสียของทางเลือกนั้น
             4. ประเมินและเลือกทางเลือก
                    ให้ผู้เรียนพิจารณาตัดสินเลือกแนวทางในการแก้ปัญหาและร่วมกันสร้างเกณฑ์โดยคํานึงถึงปัจจัย วิธีดําเนินการ ผลผลิต ข้อจํากัด ความเหมาะสม กาลเทศะ เพื่อใช้ในการพิจารณาเลือกแนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งอาจใช้วิธีระดมพลังสมอง อภิปราย ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
          5. กําหนดและลําดับขั้นตอนการปฏิบัติ
                    ให้ผู้เรียนวางแผนในการทํางานของตนเองหรือหลุ่มโดยอาจใช้ลำดับขั้นตอนการดําเนินงาน ดังนี้
                     5.1 ศึกษาข้อมูลขั้นพื้นฐาน
                     5.2 กําหนดวัตถุประสงค์
                    5.3 กําหนดขั้นตอนการทํางาน
                    5.4 กําหนดผู้รับผิดชอบ (กรณีทําร่วมกันเป็นกลุ่ม)
                    5.5 กําหนดระยะเวลาการทํางาน
                    5.6 กําหนดวิธีการประเมิน
          6. ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
                     ให้ผู้เรียนปฏิบัติตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ด้วยความสมัครใจ ตั้งใจมีความกระตือรือร้น และเพลิดเพลินกับการทํางาน
             7. ประเมินระหว่างปฏิบัติ
                    ให้ผู้เรียนสํารวจปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานโดยการชักถามอภิปรายแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น มีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอนและตามแผนงานที่กําหนดไว้ โดยสรุปผลการทํางานแต่ละช่วง แล้วเสนอแนวทางการปรับปรุงการทํางานขั้นต่อไป
             8. ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
                    ผู้เรียนนําผลที่ได้จากการประเมินในแต่ละขั้นตอนมาเป็นแนวทางในการพัฒนา ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
             9. ประเมินผลรวมเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ
                     ผู้เรียนสรุปผลการดําเนินงาน โดยการเปรียบเทียบผลงานกับวัตถุประสงค์ที่กําหนด ไว้และผลพลอยได้อื่นๆ ซึ่งอาจเผยแพร่ขยายผลงานแก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ
          8.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
                1. สังเกต
                      ให้ผู้เรียนรับรู้ข้อมูล และศึกษาด้วยวิธีการต่างๆ โดยใช้สื่อประกอบเพื่อกระตุ้นให้ ผู้เรียนเกิดข้อกําหนดเฉพาะด้วยตนเอง
             2. จําแนกความแตกต่าง
                   ให้ผู้เรียนบอกถึงความแตกต่างของสิ่งที่รับรู้และให้เหตุผลในความแตกต่างนั้น
             3. หาลักษณะร่วม
                   ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนในภาพรวมของสิ่งที่รับรู้ และสรุปเป็นวิธีการ หลักการ คําจํากัดความ หรือนิยาม
             4. ระบุชื่อความคิดรวบยอด
                   ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้
             5. ทดสอบและนําไปใช้
                   ผู้เรียนได้ทดลอง ทดสอบ สังเกต ทําแบบฝึกหัด ปฏิบัติ เพื่อประเมินความรู้
          8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
          กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นความสามารถทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ ความจํา จนถึงขั้นการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าตามแนวคิดของ บลูม (Bloom) หรือแนวความคิด ของกานเย่ (Gagne) ซึ่งเริ่มจากการเรียนรู้สัญลักษณ์ทางภาษาจนเชื่อมโยงเป็นความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์ และนํากฎเกณฑ์ไปใช้ ผู้สอน ควรพยายามใช้เทคนิคต่อไปนี้ ซึ่งไม่จําเป็นต้องใช้เป็นขั้นๆ อาจจะเลือกใช้ เทคนิคใดก่อนหลังก็ได้ขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน แต่ความพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนผ่านขั้นตอนย่อยทุกขั้นตอน ดังนี้
             1. ขั้นสังเกต
                   ให้ผู้เรียนทํากิจกรรมรับรู้แบบปรนัยให้เกิดความเข้าใจ ได้ความคิดรวบยอด เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ สรุปเป็นใจความสําคัญครบถ้วน ตรงตามหลักฐานข้อมูล
             2. อธิบาย
                   ให้ผู้เรียนตอบคําถาม แสดงความคิดเห็นเชิงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กําหนด เน้นการใช้เหตุผล ด้วยหลักการ กฏเกณฑ์และอ้างหลักฐานข้อมูลประกอบให้น่าเชื่อถือ
             3. รับฟัง
                   ให้ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็น คําวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อความคิดของตน ได้ตอบตำถาม โต้ตอบ และแสดงความคิดเห็นของตน ฝึกให้ผู้เรียนปรับเปลี่ยนความคิดเดิมของตนตามเหตุผลหรือข้อมูลที่ดี โดยไม่ใช้อารมณ์
             4. เชื่อมโยงความสัมพันธ์
                   ให้ผู้เรียนได้เปรียบเทียบความแตกต่าง และความคล้ายคลึงของสิ่งต่างๆ ให้สรุปจัดกลุ่มสิ่งที่เป็นพวกเดียวกัน เชื่อมโยงเหตุการณ์เชิงสาเหตุและผล หากกฎเกณฑ์การเชื่อมโยงในลักษณะ อุปมาอุปไมย
             5. วิจารณ์
                   จัดกิจกรรมให้วิเคราะห์เหตุการณ์ คํากล่าว แนวคิด หรือการกระทํา แล้วให้จําแนกหา จุดเด่น - จุดด้อย ส่วนดี - ส่วนเสีย ส่วนสําคัญ - ไม่สําคัญจากสิ่งนั้น ด้วยการยกเหตุผลหลักการมาประกอบการวิจารณ์
             6. สรุป
                   จัดกิจกรรมให้พิจารณาส่วนประกอบของการกระทําหรือข้อมูลต่างๆ ที่เชื่อมโยง เกี่ยวข้องกัน แล้วให้สรุปผลอย่างตรงและถูกต้องตามหลักฐานข้อมูล
          8.4 กระบวนการแก้ปัญหา
          กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด
             1. สังเกต
                   ให้นักเรียนไปศึกษาข้อมูล รับรู้และทําความเข้าใจในปัญหาจนสามารถสรุป และ ตระหนักในปัญหานั้น
             2. วิเคราะห์
                   ให้ผู้เรียนได้อภิปราย หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อแยกแยะประเด็นปัญหา สภาพ สาเหตุ และลําดับความสําคัญของปัญหา
             3. สร้างทางเลือก
                   ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลายซึ่งอาจมีการทดลอง ค้นคว้า ตรวจสอบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทํากิจกรรมกลุ่มและควรมีการกําหนดหน้าที่ในการทํางาน ให้แก่ผู้เรียนด้วย
             4. เก็บข้อมูลประเมินทางเลือก
                   ผู้เรียนปฏิบัติตามแผนงานและบันทึกการปฏิบัติงาน เพื่อรายงานและตรวจสอบก ถูกต้องของทางเลือก
              5. สรุป
                   ผู้เรียนสังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งอาจจัดทําในรูปของรายงาน
          8.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
          กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่กระตุ้นให้ผู้เรียนให้ความสนใจ เอาใจใส่ รับรู้ เห็นคุณค่า ในปรากฎการณ์ หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ขั้นตอนการดําเนินการมีดังนี้
             1. สังเกต
                   ให้ข้อมูลที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ เอาใจใส่ และเห็นคุณค่า
             2. วิจารณ์
                   ให้ตัวอย่าง สถานการณ์ ประสบการณ์ตรง เพื่อให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์หาสาเหตุและ ผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
             3. สรุป
                   ให้อภิปรายหาข้อมูลหรือหลักฐานมาสนับสนุนคุณค่าของสิ่งที่จะต้องตระหนักและ วางเป้าหมายที่จะพัฒนาตนเองในเรื่องนั้น
          8.6 กระบวนการปฏิบัติ
          กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนปฏิบัติจนเกิดทักษะ มีขั้นตอนดังนี้
             1. สังเกตรับรู้
                   ให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างหลากหลายจนเกิดความเข้าใจและสรุปความคิดรวบยอด
             2. ทําตามแบบ
                   ทําตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นทีละขั้นตอน จากขั้นพื้นฐานไปสู่งานที่ซับซ้อนขึ้น
             3. ทําเองโดยไม่มีแบบ
                   เป็นการให้ฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง
             4. ฝึกให้ชํานาญ
                   ให้ผู้เรียนปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชํานาญหรือทําได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจเป็น งานชิ้นเดิมหรืองานที่คิดขึ้นใหม่
          8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์
          กระบวนการนี้มี 2 วิธีการ คือ สอนทักษะทางคิดคํานวณและทักษะแก้ปัญหาโจทย์ การสอน ทักษะการคิดคํานวณมีขั้นตอนย่อย คือ สร้างความคิดรวบยอดของคํา นิยามศัพท์ สอนกฎโดยวิธีอุปนัย (สอน จากตัวอย่างไปสู่กฏเกณฑ์ใหม่) ฝึกการวินิจฉัย ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง
          ส่วนการสอนทักษะแก้ปัญหาโจทย์ มีขั้นตอนย่อยคือ แปลโจทย์ในเชิงภาษา หาวิธีแก้ปัญหา โจทย์ วางแผน ปฏิบัติตามขั้นตอน และตรวจสอบคําถาม
          8.8 กระบวนการเรียนภาษา
          กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาทักษะทางภาษามีขั้นตอนดังนี้
             1. ทําความเข้าใจสัญลักษณ์ สื่อ รูปภาพ รูปแบบเครื่องหมาย
                   ผู้เรียนรับรู้เกี่ยวกับความหมายของคํา กลุ่มคํา ประโยคและถ้อยคําสํานวนต่างๆ
             2. สร้างความคิดรวบยอด
                   ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้จากประสบการณ์นํามาสู่ความเข้าใจและเกิดภาพรวมเกี่ยวกับ สิ่งที่เรียนด้วยตนเอง
             3. สื่อความหมาย ความคิด
                   ผู้เรียนถ่ายทอดทางภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้
             4. พัฒนาความสามารถ
                   ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขั้นตอนคือความรู้ความจํา ความเข้าใจ การนําไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า
          8.9 กระบวนการกลุ่ม
          กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนทํางานร่วมกัน โดยเน้นกิจกรรมดังนี้
             1. มีผู้นํากลุ่ม ซึ่งอาจผลัดเปลี่ยนกัน
             2. วางแผนกําหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
             3. รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกทุกคนบนพื้นฐานของเหตุผล
             4. แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ เมื่อมีการปฏิบัติ
             5. ติดตามผลการปฏิบัติ และปรับปรุง
             6. ประเมินผลรวมและชื่นชมในผลงานของคณะ
          8.10 กระบวนการสร้างเจตคติ
          กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่แทรกได้กับทุกเนื้อหา เน้นความรู้สึกที่ดีต่อกลุ่มที่เรียน อาจเป็นความคิด หลักการ การกระทํา เหตุการณ์ สถานการณ์ ฯลฯ มีขั้นตอนดังนี้
             1. สังเกต
                   ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล เหตุการณ์ การกระทําที่เกี่ยวข้องกับการมีเจตคติที่ดีและเจตคติ
ที่ไม่ดี
             2. วิเคราะห์
                   ผู้เรียนพิจารณาผลที่จะเกิดขึ้นตามมา แยกเป็นการกระทําที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่าพอใจ และการกระทําที่ไม่เหมาะสมได้ผลที่ไม่น่าพอใจ
             3. สรุป
                   ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็นหลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติ
          8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
          กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเกิดการยอมรับและเห็นคุณค่าของค่านิยมด้วยตนเอง มีขั้นตอนดังนี้
             1. สังเกต ตระหนัก
                   ผู้เรียนพิจารณาการกระทําที่เหมาะสมและการกระทําที่ไม่เหมาสม รับรู้ความหมาย จําแนกการกระทําที่แตกต่างกันได้
             2. ประเมินเชิงเหตุผล
                   ผู้เรียนใช้กระบวนการอภิปรายกลุ่มแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์วิจารณ์การกระทํา ของตัวละคร หรือบุคคลในสถานการณ์ต่างๆ ว่าเหมาะสมหรือไม่เพราะเหตุใด
             3. กําหนดค่านิยม
                   ผู้เรียนแต่ละคนแสดงความเชื่อ ความพอใจในการกระทําที่ควรกระทําในสถานการณ์ ต่างๆ พร้อมเหตุผล
             4. วางแผนปฏิบัติ
                   ผู้เรียนช่วยกันกําหนดแนวปฏิบัติในสถานการณ์จริงโดยมีครูร่วมรับทราบกติกา การกระทํา และสํารวจสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะได้รับเมื่อกระทําดีแล้ว เช่น การได้ประกาศชื่อให้เป็นที่ยอมรับ
             5. ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
                   ครูให้การเสริมแรงระหว่างการปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชม ยินดี
          8.12 กระบวนการเรียน ความรู้ความเข้าใจ
          กระบวนการนี้ใช้กับการเรียนเนื้อหาเชิงความรู้ มีขั้นตอนดังนี้
              1. สังเกต ตระหนัก
                   ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล สาระความรู้ เพื่อสร้างความคิดรวบยอด ตั้งคําถาม ตั้งข้อสังเกต สงเคราะห์ข้อมูล เพื่อทําความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และกําหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่จะแสวงหาคําตอบต่อไป
             2. วางแผนปฏิบัติ
                   ผู้เรียนนำวัตถุประสงค์ หรือคําถามที่ทุกคนสนใจจะหาคําตอบมาวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม
             3. ลงมือปฏิบัติ
                   ครูกําหนดให้สมาชิกในกลุ่มย่อยๆ ได้แสวงหาคําตอบจากแหล่งความรู้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ค้นคว้า สัมภาษณ์ ศึกษานอกสถานที่ หาข้อมูลจากองค์กรในชุมชน ฯลฯ ตามแผนงานที่วางไว้
             4. พัฒนาความรู้ความเข้าใจ
                   ผู้เรียนนําความรู้ที่ได้มารายงานและอภิปรายเชิงแปลความ ตีความ ขยายความ นําไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า
             5. สรุป
                   ผู้เรียนรวบรวมเป็นสาระที่ควรรู้บันทึกลงสมุด
          จะเห็นได้ว่า กระบวนการรวมทั้งรูปแบบการเรียนการสอนต่างๆ ดังได้เสนอไปแล้วข้างต้น มีจํานวนและความหลากหลายพอสมควร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกเป็นจํานวนมาก ผู้สอนจึงพึงตระหนักว่าศาสตร์ทางการสอนได้ให้แนวคิดแนวทางในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่างหลากหลายพอสมควร หากผู้สอนรู้จักแสวงหา ศึกษาเรียนรู้ และนําไปทดลองใช้ จะสามารถช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ มีชีวิตชีวา และมีความหลากหลาย ไม่จําเจอยู่กับวิธีการหรือกระบวนการเพียงไม่กี่วิธีซึ่งอาจทํา ให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย