บทที่
3
วิเคราะห์ภาระงาน
(Task
Analysis)
T
: วิเคราะห์ภาระงาน (Task Analysis)
ศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้ ความรู้(knowledge) ทักษะ(Skill) และเจตคติ(Attitude) ที่เกี่ยวข้อง
เพื่ออธิบายภาระงานหรือกิจกรรมที่ช่วยนำทางผู้เรียนไปสู่จุดหมายการเรียนรู้ การวิเคราะห์งานจะเขียนแสดงความสัมพันธ์ด้วย
KSA diagram คือ Knowledge-Skill
Attitudes การวิเคราะห์ภาระงานเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์การเรียนการสอน
ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
1.ตัดสินใจให้ได้ว่าเป็นความต้องการในเรื่องการเรียนการสอน
มีภาระงานที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
2.ต้องความชัดเจนว่าต้องเรียนรู้เรื่องใดมาก่อน
จึงจะนำไปสู่ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
3.การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน จากขั้นที่ 2
บอกให้รู้ว่าผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และวัดผลในเรื่องใด
Donald
Clark, (2004 : 13) เสนอแนวทางการวิเคราะห์ตามกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนนี้ว่า
เป็นการปฏิบัติเพื่อลงสรุปให้ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนการสอนให้ชัดเจน
ดังนี้
ทบทวนระบบหรือกระบวนการเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น
เรียบเรียงภาระงาน (ถ้าจำเป็น)
· ระบุ
งาน
· บรรยายลักษณะงาน
· รายงาน
ภาระงานของแต่ละงาน
วิเคราะห์ภาระงานนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อสนองตอบความต้องการการเรียนรู้
เลือกภาระงานสำหรับการการสอน
(ภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องก็ควรจะเลือกใช้วิธีอื่น(ที่ไม่ใช่การสอน)
สร้างเครื่องมือ
วัดผลการปฏิบัติ
เลือกวิธีการเรียนการสอน
ประมาณค่าใช้จ่ายในการสอน(ถ้าจำเป็น)
หมายเหตุ
คำว่า(ถ้าจำเป็น) อาจไม่ต้องทำก็ได้ เมื่อผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายรับทราบกิจกรรมนั้น
ๆ ทราบแล้ว
การวิเคราะห์งาน
การวิเคราะห์งานเป็นการตรวจสอบว่าการศึกษานั้น ๆ มีงานใดที่เป็นชีวิต
และมีความรู้ทักษะและเจตคติใดบ้างที่นำไปสู่ความสำเร็จในการทำงานนั้น ๆ
การวิเคราะห์งานช่วยให้แน่ใจว่าจะได้สาระและคุณค่าที่เกี่ยวข้องในการเรียนรู้
คำถามหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์งานมนการวิเคราะห์งาน มีคำถามหลัก 3 ข้อ คือ
ภาระงานใดงานใดเป็นข้อกำหนดของงาน
การจัดเรียงลำดับของแต่ละภาระงานคืออะไร
เวลาที่ใช้ในการทำแต่ภาระงาน
สุดท้ายหาคำตอบให้ได้ว่าภาระงานใดมีความสำคัญ เนื่องจากงาน
ประกอบด้วยภาระงานหลายภาระงาน
การวิเคราะห์งานทำได้อย่างไร
วิธีการวิเคราะห์งานที่ใช้บ่อย คือ
การสอบถาม(questionnaires) การสำรวจโดยส่งแบบสอบถามทางไปษณีย์
หรือไปษณีย์อิเล็กทรอนิกส์สอบถามผู้เชี่ยวชาญ
เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายน้อยและได้ข้อมูลจำนวนมาก
การสัมภาษณ์(interviews) การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ หรือการพบปะสนทนาเป็นรายบุคคลกับผู้เชี่ยวชาญ
เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลามาก แต่มีข้อดีสำหรับคำถามปลายเปิด
หรือสามารถถามเพิ่มเติมในประเด็นที่ต้องการในทันที
การสนทนากลุ่ม(focus
groups) การสัมภาษณ์กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะให้ผลดีกว่าในประเด็นที่จะช่วยให้ตรงประเด็นมากกว่า
มิฉะนั้นอาจจะเข้าใจผิดหรือมโนทัศน์ที่ผิดพลาดได้
การวิเคราะห์งภาระงาน
การวิเคราะห์ภาระงานคล้ายคลึงกับการวิเคราะห์งานแต่มีระดับของการวิเคราะห์อยู่ที่รายละเอียด
– หน่อยย่อย การวิเคราะห์งานทำได้โดยการจำแนกงานออกเป็นภาระงานหลาบภาระ
จากนั้นวิเคราะห์ภาระงานก็จะสามารถวเคราะห์ย่อยลงถึงส่วนประกอบโดยใช้คำถามในการวิเคราะห์เช่นเดียวกันกับการวิเคราะห์งาน
ดังนี้
ส่วนประกอบของแต่ละภาระงานคืออะไร
ส่วนประกอบของต่ละส่วนสามารถนำมาเรียงลำดับด้วยอะไรได้บ้าง
ส่วนประกอบแต่ละส่วนต้องใช้เวลาเท่าไร
ขั้นตอนที่จำเป็น(critical
steps) คืออไร และเส้นทางวิกฤติ(critical paths) คืออะไร
ขั้นตอนที่จำเป็นหมายถึงภาระงานที่ไม่สามารถข้าม ละเว้นไม่ต้องปฏิบัติภาระงานนั้น
มิฉะนั้นจะมีผลเสียต่อผลลัพธ์ที่จะได้เป้นปัจจัยป้อนให้กับขั้นต่อไปส่วนเส้นทางวิกฤติเป็นผลต่อเนื่องจากขั้นตอนที่จำเป็น
เส้นทางวิกฤติมีผลต่อโอกาสที่จะประสอบผลสำเร็จของงานได้และในทำนองเดียวกันก็อาจเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งก็ได้
การตัดสินใจเลือกภาระงานต้องคำนึงถึงประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
ซึ่งโปรแกรมที่ดีต้องแสวงหาวิธีการที่ดีที่สุดภายใต้กรอบค่าใช้จ่ายที่ได้รับ
และต้องสนองจุดหมายของการเรียนรู้ไปพร้อมการเลือกภาระงานอาจแบ่งภาระงานได้เป็น 3
กลุ่ม คือ
1. กลุ่มภาระงานที่จัดไว้สำหรับการเรียนแบบปกติ(formal)
2. กลุ่มภาระงานที่จัดไว้สำหรับฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน(on
– the – job – training :OJT)
3. กลุ่มภาระงานที่ไม่ได้จัดไว้ทั้งการเรียนแบบปกติหรือ
การฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน เช่น ชุดการศึกษาด้วยตนเอง ฯลฯ
คำถามที่ใช้ในการวิเคราะห์ภาระงาน
Donal Clark,(2004
: 10) ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคำถามในการวิเคราะห์ภาระงานไว้ ดังนี้
ภาระงานนี้มีความยุ่งยาก หรือซับซ้อนเพียงใด
ในการปฏิบัติงานต้องใช้พฤติกรรมใดบ้าง
ภาระงานนี้จะต้องกระทำบ่อยเพียงใด
ภาระงานนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติงานมากน้อยเพียงใด
แต่ละคนทำภาระงานนี้ถึงระดับใด
หรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งขอลชิ้นงาน
ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงานอะไรเป็นความสัมพันธ์ระหว่างภาระงานต่าง ๆ
หากปฏิบัติภาระงานผิดพลาดหรือไม่ปฏิบัติเลย
ผลจะเป็นอย่างไร
อะไรเป็นขอบเขตของภาระงานในการปฏิบัติงานนั้น
ๆ
ระดับความชำนาญที่คาดหวังในการปฏิบัติภาระงาน
ควรจะอยู่ระดับใด
ภาระงานมีความสำคัญอย่างไร
สารสนเทศใดที่มีความจำเป็นต่อการปฏิบัติภาระ
และจะได้มาจากแหล่งใด
อะไรคือเงื่อนไขในผลการปฏิบัติงาน
ในการดำเนินงานตามระบบ
จำเป็นต้องมีการประสานงานกับบุคคลฝ่ายอื่น หรือภาระงานอื่นหรือไม่
ภาระนั้น ๆ มากเกินกว่าความต้องการในด้านต่าง
ๆ หรือไม่ เช่น ด้านการรับรู้ (perceptual)
ด้านความรู้ (cognitive) และด้านทักษะ (psychomotor) และด้านกายภาพ (physical)
ภาระนี้จะต้องกระทำบ่อยเพียงใด ภายใต้กรอบเวลา
เช่น (รายงาน รายสัปดาร์ รายเดือน หรือรายปี)
การปฏิบัติภาระงานนี้ต้องใช้เวลานานมากน้อยเพียงใด
ในการปฏิบัติภาระงานนี้ บุคคต้องมีทักษะ
ความรู้ และความสามารถต่าง ๆ อะไรเป็นพื้นฐาน
เกณณฑ์ที่พึ่งประสงค์คืออะไร
พฤติกรรมใดที่สามารถจำแนกได้ว่า
ใครเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ดี
การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้
การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้จะเป็นการจำกัดขอบเขตของเรื่องที่จะนำมาสอนกับเรื่องที่ไม่ต้องนำมาสอน
ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในปัจจุบันเนื่องจากหนังสือเรียนบรรจุสาระสนเทศไว้มากเกินกว่าที่จะนำมาสอนอย่างมีประสิทธิผลในระยะเวลาหนึ่งภาคเรียน
ควรยึดหลักว่า เพื่อเป็นผลดีต่อ การเรียนรู้จริงๆ ของผู้เรียน
สื่อการเรียนรู้ที่จำเป็นถึงแม้ว่าจะน้อยแต่ก็ดีกว่าสื่อการเรียนรู้ขนาดใหญ่
แต่ไม่ได้ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการเรียน
วิเคราะห์สาระการเรียนรู้
เนื้อหาสาระที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ อจจะแบ่งได้หลายลักษณะ
เช่น กาเย่ และบริกส์ (Gagne and Briggs 1974 : 53 - 70) กำหนดสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1)ข้อมูลที่เป็นความรู้
2) เจตคติ และ 3) ทักษะ ส่วนเดคโค (De
Cecco 1968 : 214 – 447 ) แบ่งสาระการเรียนรู้ตามจุดประสงค์เป็น 1) ทักษะ 2) ความรู้ที่เป็นข้อมูลธรรมดา 3) ความคิดรวบยอดและหลักการ และ 4) การแก้ปัญหา
การคิดสร้างสรรค์และการค้นพบ
การวิเคราะห์เนื้อหาสาระ
ควรดำเนินการดังนี้
ตัดสินใจให้ได้ว่าสารสนเทศใดมีความจำเป็นสูงสุด
แบ่งออกเป็นมโนทัศน์ย่อย ๆ
ขอเสนอแนะให้นำโครงสร้างการจำแนกจุดประสงค์การเรียนรู้มาใช้ในการตัดสินใจในการสอน
อาทิ การจำแนกจุดมุ่งหมายการศึกษาของ บลูม (Bloom’s Taxonomy)
การออกแบบและพัฒนาภาระงาน
Herman, J.
L., Aschbacher, P.R., and Winters, L. (1992 อ้างอิงใน
ชอบ ลีชอ(2555) การประเมินตามสภาพจริง สำนักทดสอบทางการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ) การออกแบบและพัฒนาภาระงาน ต้องอาศัยหลักวิชา การวิเคราะห์
ความคิดสร้างสรรค์และความเชี่ยวชาญในเนื้อหาสาระในระดับมืออาชีพขั้นตอนการสร้างภาระงานมีดังนี้
การระบุความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากการปฏิบัติงาน
โดยเริ่มจากพิจารณาและ
วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตร
ผลการเรียนที่คาดหวัง หรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อสามารถระบุขอบเขตและประเภทของความรู้
ทักษะ และคุณลักษะที่พึ่งประสงค์
ผู้สอนควรตั้งปัญหาถามตนเอง 5 ข้อเพื่อที่จะระบุหรือกำหนดความรู้และความสามารถที่ผู้เรียนจะได้รับจากการปฏิบัติภาระงาน
คือ
1) ทักษะทางปัญญาและคุณลักษณะที่สำคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนได้ฝึกและพัฒนาคืออะไร
เช่น การสื่อสารด้วยการเขียนอย่างชัดเจนและประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์ประเด็นปัญหาโดยใช้ข้อมูลขั้นปฐมภูมิและจากเอกสารอ้างอิง
การใช้หลักพีชคณิตเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เป็นต้น
2) ทักษะและคุณลักษณะทางสังคม
และจิตพิสัยที่ต้องการพัฒนาให้ผู้เรียน คืออะไร เช่น การทำงานโดยอิสระ
การปฏิบัติโดยร่วมมือกับผู้อื่น ความมั่นใจในความสามารถของตนเอง
และการรู้จักรับผิดชอบ เป็นต้น
3) ทักษะความคิดระดับสูงและอภิปัญญา
(Meta-cognition) ที่ต้องการพัฒนาให้ผู้เรียนคืออะไร เช่น การใคร่ครวญ ตรึงตรอง
ทบทวนกระบวนการทำงานของตน(ผู้เรียน) การประเมินประสิทธิภาพของกลวิธีที่ตน(ผู้เรียน)
ใช้ การพิจารณาและประเมิลความก้าวหน้าของตนเอง(ผู้เรียน) เป็นระยะ ๆ เป็นต้น
4) ความสามารถที่ต้องการให้ผู้เรียนมีความสามารถอะไร
เช่นความสามารถในการวางแผนศึกษาค้นเพื่อหาคำตอบให้กับประเด็นปัญหาที่กำหนดให้
ความสามารถจำแนกประเภทปัญหาที่สามารถใช้หลักการทางเลขาคณิตแก้ไข
การแก้ปัญหาที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องแน่ชัด เป็นต้น
5) หลักการทางวิชาการและความคิดรวบยอดที่ต้องการให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้คืออะไร
เช่น การใช้หลักการทางนิเวศวิทยากำหนดแนวปฏิบัติในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
การใช้หลักคณิตศาสตร์ไตรยางค์ในการแก้ปัญหาเรื่องการซื้อขาย เป็นต้น
2.
ออกแบบภาระงานที่ผู้เรียนต้องใช้ความรู้และทักษะ (จากข้อ
1) ลักษณะสำคัญของงานคือต้องกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียน มีความท้าทาย
แต่ไม่ยากเกินไปจนผู้เรียนทำไม่ได้ และในขณะเดียวกันต้องครอบคลุมสาระสำคัญทางวิชาและทักษะที่ลึกซึ้ง
เพื่อให้สามารถนำผลการประเมินไปใช้ได้อย่างสมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ
Herman et al. (1992)
ได้เสนอประเด็นคำถามสำคัญเพื่อให้ผู้สอนพิจารณาในขั้นตอนนี้ คือ
1) เวลา จะต้องใช้เวลาเท่าไร
ผู้เรียนจะพัฒนาความรู้และทักษะที่เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติงานในระยะเวลาเท่าไรจึงจะเหมาะสม
เนื่องจากการพัฒนาการพัฒนาความคิดรวบยอดที่สำคัญและทักษะกระบวนการคิดระดับสูง ความรู้ที่ใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้ยาวนานพอสมควร
ผู้สอน/ผู้ออกแบบควรกำหนดเวลาที่เหมาะสมตามประเภทของสาระสำคัญและความลึกซึ้งของทักษะ
และวัยระดับชั้นเรียนหรือพัฒนาการด้านสติปัญญาของผู้เรียน
2 จะมีหลักการอย่างไร
ในการเลือกความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์
ที่มีจำนวนมากและหลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่กำหนดหลักการสำคัญคือพิจารณาจากมาตรการ
เรียนรู้ให้ความสำคัญกับความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษา
ความรู้และทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่มีขอบเขตในการใช้ประโยคที่กว้างขวางและใช้ได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
3 พิจารณาโลกแห่งความจริงผู้สอนผู้ออกแบบควรให้ความสำคัญต่อความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่สอดคล้องกับความเป็นจริงไม่ควรให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นเพียงอุดมคติแต่ไม่สามารถบรรลุได้ในความเป็นจริง
3 การกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน
(Rubrics) หรือเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจนเป็นปรนัย
เป็นที่ยอมรับและสามารถสะท้อนให้เห็นถึงระดับของผลสัมฤทธิ์ทางด้านความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์เกณฑ์การให้คะแนนส่วนมากมักจะอยู่ในรูปตาราง
2 มิติ ประกอบด้วย
ส่วนหัว Rows
จะแสดงระดับคุณภาพของความรู้ทักษะและความสามารถของแต่ละ Column
จำนวน Rows จะขึ้นอยู่กับจำนวนของระดับคุณภาพที่ต้องการใช้
และส่วนมากจะอยู่ระหว่าง 2 ถึง 3 ระดับ
ช่องแต่ละช่องในตารางจะมีคำบรรยายถึงระดับคุณภาพแต่ละระดับของความรู้
ทักษะหรือความสามารถที่ประเมินภาระงานแต่ละชิ้นควรจะมี เกณฑ์การประเมินเฉพาะตัว
เกณฑ์การประเมินที่ออกแบบมาอย่างดีจะให้ข้อมูลแก่ผู้เรียนว่าจะต้องแสดงความสามารถด้านใดออกมาในระดับใดจึงจะได้คะแนนเท่าไหร่
เกณฑ์การประเมินยังเป็นเครื่องมือที่ให้ผู้สอนสามารถประเมินผู้เรียนอย่างเป็นปรนัยและได้ผลการประเมินที่น่าเชื่อถือนอกจากนี้ควรจะมีตัวอย่างผลงานพร้อมทั้งระดับคะแนนแต่ละด้านให้นักเรียนได้ศึกษาประกอบด้วย
หมายเหตุ
ผู้สอนผู้ออกแบบควรจะภาระงานไปทำการตรวจสอบทบทวนแล้วนำไปทดลองใช้ในภาคสนามนำผลกลับมาศึกษาวิเคราะห์และปรับปรุงแก้ไขก่อนจะนำไปใช้ในสถานการณ์จริงต่อไป
การสอนเพื่อความเข้าใจ:การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ
การกำหนดจุดหมายที่พึงประสงค์ในการสอนเพื่อความเข้าใจครูพิจารณาว่านักเรียนมีความรู้พื้นฐานที่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและน่าจะรู้อะไรบ้างแล้วนอกจากนั้นกำหนดขอบข่ายให้แคบลงว่านักเรียนควรมีสิ่งที่จำเป็นต้องรู้และจำเป็นต้องทำนักเรียนควรทำความเข้าใจในเรื่องใดและควรทำอะไรได้บ้างควรมีความเข้าใจที่ยั่งยืนอะไรบ้างครูจะต้องพิจารณาวิธีการประเมินซึ่งจะสะท้อนให้เห็นว่าคิด
อกรรมการเรียนการสอนจะต้องลุ่มลึกกว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก
(ระบุหลักฐานและเกณฑ์การประเมินผลชัดเจน)จึงจะสามารถพัฒนาให้เกิดความเข้าใจในระดับที่ลึกซึ้ง
การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ (Backwards
Design )
Wiggins ได้เสนอกระบวนการออกแบบการเรียนรู้ที่ย้อนกลับจากจุดหมายการเรียนรู้และมาตรฐานที่กำหนดไว้โดยเริ่มจากจุดหมายการเรียนรู้ที่พึงประสงค์จากนั้นจึงออกแบบหลักสูตรออกแบบมีการจัดการเรียนรู้และออกแบบการประเมินผลการเรียนไปพร้อมพร้อมกัน
เริ่มจากการจะวิเคราะห์ตั้งแต่ช่วงแรกของการออกแบบหลักสูตรว่าหากนักเรียนบรรลุจุดหมายที่กำหนดไว้จะต้องพิจารณาจากสิ่งใดหรือจากหลักฐานอะไรจึงจะถือว่านักเรียนได้เกิดความเข้าใจในระดับที่พึงประสงค์วิธีการนี้จะช่วยให้ครูมีความชัดเจนในเรื่องจดหมายการออกแบบให้มีความสอดคล้องกันระหว่างกิจกรรมการเรียนการสอนและจุดหมายที่พึงประสงค์การออกแบบแบบย้อนกลับ
(Backwards Design ) จะมี 3 ขั้นตอนดังนี้
1 การกำหนดจุดหมายในการจัดการเรียนรู้
2
การกำหนดหลักฐานที่แสดงว่านักเรียนได้บรรลุจุดหมาย การเรียนรู้ที่กำหนดไว้
3 การวางแผนจัดประสบการณ์เรียนรู้
การกำหนดจุดหมายในการจัดการเรียนรู้
ผู้สอนจะพิจารณาว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานที่เป็นสาระสำคัญและรู้อะไรแล้วกำหนดขอบข่ายว่านักเรียนจำเป็นจะต้องรู้สาระอะไรและจะต้องทำอะไรได้ผู้เรียนควรทำความเข้าใจในเรื่องใดควรทำอะไรได้บ้างและควรมีความเข้าใจลุ่มลึกและยั่งยืนในเรื่องใด
Wiggins
ได้เสนอเกณฑ์พิจารณากำหนดจุดหมาย 4 ประการได้แก่
1 จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้นเป็นประเด็นหลักที่จะมีคุณค่านอกบริบทการเรียนการสอนในห้องเรียนหรือไม่ความเข้าใจที่ยั่งยืนต้องไม่เป็นเพียงข้อมูลหรือทักษะเฉพาะเรื่องเท่านั้นแต่จะต้องเป็นเรื่องหมากปริญหลักที่สามารถนำไปปรับปรุงประยุกต์ในสถานการณ์อื่น
ๆนอกห้องเรียน
2
จุดหมายการจัดการเรียนรู้นั้นเป็นหัวใจของศาสตร์นั้น ๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร
3
จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้นต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ
เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจเพียงใดมีเนื้อหาสาระเป็นจำนวนมากที่ซับซ้อนมากและเป็นนามธรรม
เกินที่นักเรียนจะเข้าใจได้ด้วยตนเองหัวข้อเหล่านี้ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษและควรบรรจุในการเรียนการสอนมากกว่าเนื้อหาที่เข้าใจง่าย
ที่นักเรียนอาจเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
4
จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้นเพื่อต่อการมีส่วนร่วมของนักเรียนมีหลายหัวข้อ หลายกิจกรรมที่นักเรียนสนใจตามไว้อยู่แล้วสามารถเลือกมาใช้เป็น
"ประตู"
ไปสู่เรื่องอื่นที่ใหญ่กว่าหากสามารถเชื่อมโยงเรื่องที่เรียนไปสู่เรื่องที่นักเรียนสนใจจะช่วยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าต่อเนื่องด้วยตนเองต่อไป
การวางแผนการจัดการเรียนรู้
เมื่อมีความชัดเจนเกี่ยวกับจุดหมายการเรียนรู้และหลักฐานที่เป็นรูปประธรรมแล้วผู้สอนสามารถเริ่มวางแผนการจัดการเรียนรู้ได้โดยอาจตั้งคำถามดังต่อไปนี้
ความรู้และทักษะอะไรจะช่วยให้นักเรียนมีความสามารถตามจุดหมายที่กำหนดไว้
กิจกรรมอะไรจะช่วยพัฒนานักเรียนไปสู่จุดหมายดังกล่าว
สื่อการสอนจึงจะเหมาะสมสำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ขั้นต้น
การออกแบบโดยรวมสอดคล้องและลงตัวหรือไม่
การปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากร
ชั้นเรียนโดยทั่วไปกำหนดให้มีจำนวนผู้เรียนประมาณห้องละ
30
คน
เพื่อที่ผู้สอนและผู้เรียนจะได้มีปฏิสัมพันธ์อย่างทั่วถึงและกระบวนการจัดการเรียนการสอนเป็นทางการเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้เรียนเพิ่มขึ้นเป็นผลในชั้นเรียนขนาดเล็กกลายเป็นชั้นเรียนขนาดใหญ่ผู้สอนในสถาบันอุดมศึกษาที่รับผิดชอบ
2 ชั้นเรียนขนาดใหญ่ได้แบ่งเป็นกลุ่มหรือชั้นเรียนขนาดเล็กโดยมีผู้ช่วยสอนหรือไม่มีผู้ช่วยสอน
ก็ใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการสอน (
มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและเทคนิคการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับผู้สอนผู้ช่วยสอน(
ประจำห้องปฏิบัติการห้องเทคโนโลยีที่ทันสมัย)
ซึ่งส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนในการจัดการเรียนการสอนควรมีการปรับเปลี่ยนเนื่องจากมีข้อจำกัดของทรัพยากรอันเป็นผลจากพัฒนาการทางสังคมโดยปรับวิธีการเรียนการสอนเครื่องมือและสภาพ
กายภาพ ผู้สอนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับจิตใจของคนการจัดการเรียนรู้เชิงสังคมและการจัด
การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นต้น
อัธยาตมวิทยา:ความรู้ที่เกี่ยวกับจิตใจของคน
นิรมล ตีรณสาร สวัสดิบุตร (2548
: 7 -8) ได้กล่าวไว้ว่าหนังสืออัธยาตมวิทยา (อ่านว่า
อัด-ทะ-ยาต-ตะ-มะ-วิด-ทะ-ยา)
หมายถึงความรู้ที่เกี่ยวกับจิตใจของคนซึ่งเป็นความรู้ที่ผู้เป็นครูจำเป็นต้องรู้เพราะทำนายกับคนเป็นตำราวิชาครูของกรมศึกษาธิการที่เขียนโดย
คุณจรัญชวนะพันธ์(สารท สุทธเสถียร) พิมพ์เผยแพร่ในปี ร.ศ.
125 (พ.ศ 2449) อาจารย์ผู้สอนวิชาจิตวิทยาการศึกษาในสถาบันผลิตครูยิ่งควรอ่าน
และเชิญชวนให้นิสิตนักศึกษาอ่านด้วยและเสนอแนวคิดเพิ่มเติมว่าในการเขียนตำราควรอ่านและปรับปรุงตำรา
ให้ทันสมัยเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมพยายามให้ได้ใจความและเลือกสรรเฉพาะเรื่องที่จำเป็นสำหรับครูจริงตลอดจนการใช้วิธีเขียนและภาษาที่เข้าใจง่ายเช่นเดียวกับตำราอัธยาตมวิทยานี้
แสดงตัวอย่างไว้หนังสืออัธยาตมวิทยา แบ่งออกเป็นตอนใหญ่ๆ10 ตอน
คือ
1. วิทยาศาสตร์แห่งร่างกายและวิทยาศาสตร์แห่งจิตใจซึ่งเน้นว่าครูที่ดีจะต้องรู้อาการจิตใจนักเรียนให้ละเอียดเหมือนแพทย์ที่ดีต้องดูอาการของร่างกายคนไข้
2. ลักษณะทั้ง 3 ของจิตใจ (
ความกระเทือนใจความรู้ความตั้งใจ) มีการแบ่งชั้นของความเจริญของจิตไว้ 3
ชั้นคืออายุ 1-7 ปี 7 ถึง 14 ปีและ 14-21 ปี
ซึ่งเป็นช่วงอายุของคนที่ที่เป็นลูกศิษย์ของครูอาจารย์
3. ความสนใจมี 2
ชนิดคือที่เกิดขึ้นเองและที่ต้องทำให้เกิดขึ้น
4. ความพิจารณา
มีการเปรียบเทียบให้เห็นชัดว่าเด็กในกรุงเทพ
กับเด็กบ้านนอกมีความพิจารณาต่างกันอย่างไรและครูของเด็กทั้ง 2
พวกนี้ควรส่งเสริมเด็กต่างกันอย่างไรนอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำที่น่าสนใจสำหรับครูในการสอนวิชาต่าง
ๆเช่นภูมิศาสตร์ ไวยากรณ์พงศาวดาร การเขียนลายมือ และการวาดรูป
5. ความเจริญของอาการทั้งห้า
(รู้สึก เห็น ฟัง ชิม ดม) มีการกล่าวถึงหน้าที่ของครูในการหัตถการทั้ง 5
และบอกวิธีหัดอาการบางชนิดได้ด้วย เช่น หัดให้รู้จักสี หัดให้รู้จักรูป (การวัดการคาดคะเน)
หัดให้ดูจากรูปด้วยการสัมผัส หัดอาการฟังด้วยการอ่านด้วยเพลง หัตถการดมและอาการชิม
6. ความจำมีเรื่องลืมสนิท
และไม่ลืมสนิท จำได้และนึกออก ชนิดของความจำและเครื่องที่ครูควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง
คือ สิ่งที่ครูควรนับถือเป็นหลักในเวลาที่จะให้นักเรียนจำ
สิ่งที่ควรให้นักเรียนท่องขึ้นใจ และสิ่งที่ไม่ควรให้นักเรียนช่อง
7. ความคิดคำนึง
วิธีฝึกหัดความคิดคำนึงให้ดีขึ้น
มีการเสนอว่าบทเรียนที่ช่วยฝึกหัดความคิดคำนึงของเด็กได้ดีที่สุดคือ พงศาวดาร
และภูมิศาสตร์ และแม้แต่หนังสือเรื่อง
ยักษ์หรือผีสางเทวดาที่ผู้ใหญ่เห็นว่าไร้สาระก็ หัดให้เด็กมีความคิดคำนึงได้
8. ความตกลงใจ
เกิดจากอาการ 2 อย่างคือ การเปรียบเทียบและการลงความเห็นมีตัวอย่างบทเรียนที่ช่วยฝึกหัดความตกลงใจเช่นการเขียนหนังสือ
และการวาดรูป บทเรียนสำหรับหัดมือ(พับ ตัด ปั้น)
การกระจายประโยคตามตำราไวยากรณ์เลข การเล่นออกแรง
9. ความวิเคราะห์
มีการแสดงตัวอย่างวิธีการสอน 2 แบบคือ แบบ"คิดค้น" (induction)
และระบบ "คิดสอบ"
( deduction) มีการเปรียบเทียบให้ดูว่าคิดค้นกับคิดสอบต่างกันอย่างไรและมีประโยชน์แก่การศึกษาต่างกันอย่างไร
คู่จะได้เลือกว่าเมื่อใดควรให้นักเรียนคิดค้นเมื่อใดให้คิดสอบและมีตัวอย่างวิธีการสอนเรื่อง
กริยาวิเศษณ์ ที่แสดงขั้นตอนการสอนให้ดู11 ขั้นตอนซึ่งเป็นการคิดค้น
แล้วต่อด้วยอีก 2 ขั้นตอน ซึ่งเป็นการคิดสอบ
การใช้วิธีสอนรวมกันทั้งคิดค้นและคิดสอบเช่นนี้ท่านเรียกว่าวิธีสำเร็จ
และบอกว่าเป็นวิธีที่ดีกว่าวิธีอื่น ๆ
10. ความเข้าใจ
มีการให้ตัวอย่างคำจำกัดความ ลักษณะแห่งความเข้าใจ และบอกวิธีสอนที่จะทำให้เด็กเข้าใจได้ดี
ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูทุกคนปรารถนา
วิชาอัธยาตมวิทยา
ต่อมาเป็นวิชาจิตตะวิทยาในหลักสูตรผลิตครูในหลายสถาบันคือเรียนรู้หลักวิชาจิตวิทยาที่เป็นประโยชน์ในการเรียนการสอน(จรัส
ชวนะพันธ์(สารท สุทธเสถียร) ขุน (2548) นนทบุรี : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
การสานสร้างความรู้จากสังคม
Toddler (1980) กล่าวถึงการพัฒนาการทางด้านสังคมมนุษย์
จากสังคมเกษตรกรรม
มาสู่ยุคสังคมอุตสาหกรรมและสังคมสารสนเทศพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศเรียกกันในช่วงแรกว่าสังคมสารสนเทศ
(information society) ต่อมาผู้คนในสังคมที่มีปัญญาสามารถจัดการความรู้ได้
สังคมสารสนเทศก็กลายเป็นสังคมฐานความรู้ (Knowledge based society) การพัฒนาเทคโนโลยีไร้สายเป็นผลให้แนวทางในการจัดการศึกษาจำเป็นต้องให้สมาชิกในสังคมให้พร้อมรับสังคมฐานความรู้การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ที่กล่าวกันในการจัดการศึกษานั้นต้องเกิดจากความเข้าใจผู้เรียนและสภาพแวดล้อมของผู้เรียนเพื่อสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียนและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง
เช่นการจัดกระบวนการ เรียนรู้สื่อในการเรียนรู้การศึกษาตามทฤษฎี social
constructivism มีความเหมาะสมมากสำหรับสังคมสารสนเทศโดยเฉพาะสังคมฐานความรู้เนื่องจากผู้เรียนสามารถเรียนรู้เรื่องต่างๆจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
หากสถานศึกษาจัดสภาพแวดล้อมให้สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้จากเครือข่ายสารสนเทศ
สุดาพร ลักษณียนาวิน(2550) ได้เสนอกระบวนการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎีการเสริมสร้างความรู้จากสังคม
(social constructivism) ดังนี้
ตารางที่ 10 กระบวนการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎีการสานสร้างความรู้จากสังคม
ทฤษฎี
|
วิธีการเรียนการสอน
|
เครื่องมือและสภาพกายภาพ
|
การสานสร้างความรู้จากสังคม
(Social constructivism)
|
การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน
(Problem
Based Learning)
การเรียนรู้แบบภาระงานเป็นฐาน
(Task Based
Learning)
การเรียนรู้แบบเชิงรุก
(Active
Learning)
การเรียนรู้วิจัยเป็นฐาน
(Research
Based Learning)
การเรียนรู้แบบทีมเป็นฐาน
(Team Based
Learning)
การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน
(Peer Learning)
|
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(Computer
Assisted)
เครือข่ายสังคมออนไลน์
(Network
Environment)
วิกิเทคโนโลยี
(Wiki
Technology)
ห้องเรียนไร้โต๊ะ
(Classrooms
without Desk)
การออกแบบห้องเรียนแนวใหม่
(New
Classroom Design)
|
การศึกษาตามแนวทฤษฎีการสร้างสรรค์ความรู้จักสังคมหลักสูตรที่เป็นตัวกำหนดสิ่งที่เรียนรู้โรงเรียนและผู้สอนจะกำกับการเรียนรู้ผู้เรียนและผู้ฝึก
สอนจะช่วยกันคิดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับสภาพสังคม
วิธีการเรียนการสอนแบบนี้ต้องรวมพลังในการสอนทั้งการเตรียมการเวลาในการค้นคว้าหาข้อมูล
เวลาในการทำกิจกรรมและเวลาที่ต้องมีให้แก่กันระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับผู้สอนเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต
กิจกรรมการเรียนเป็นเรื่องที่ผู้เรียนเป็นผู้กำกับดูแลเอง (autonomous
learer) ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง ความรู้ ในบริบทของคำถามและโจทย์ที่มีให้ตอบไม่รู้จบเครื่องมือและสภาพทางกายภาพของห้องเรียนมีการออกแบบห้องเรียนที่ช่วยให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสื่อกับเพื่อนและกับผู้สอน
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
ประสิทธิผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือได้รับการยืนยันจากการวิจัยทางการศึกษาวิจัยในห้องทดลองและในภาคสนามการศึกษาสห
สัมพันธ์ที่แสดงว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือมีผลในห้องเรียนจริง ๆ Johnson
and Johnson (1994) สรุปว่าการวิจัยเชิงสาธิตแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ
1) การประเมินผลรวมได้ผลว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็น
ประโยชน์ 2)
การประเมินผลรวมเชิงเปรียบเทียบได้ข้อสรุปว่ากระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือดีกว่ากระบวนการเรียนรู้แบบอื่น
ๆ 3) การประเมินผลระหว่างเรียนให้ผลที่ จุดมุ่งหมายที่การพัฒนาการการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือและ
4) การศึกษาผลกระทบของการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีต่อผู้เรียน
การเรียนรู้แบบร่วมมืออาจใช้ได้ดีกับทุกระดับทุกเนื้อหาวิชาและทุกงานด้วยความมั่นใจความร่วมมือเป็นความพยายามของมนุษย์โดยทั่วไปซึ่งส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ต่าง
ๆทางการศึกษาผลลัพธ์นี้ Johnson and Johnson (1994a) สรุปได้ 3 ประเภทคือ ความพยายามที่จะบรรลุผลสัมฤทธิ์
สัมพันธภาพทางบวกระหว่างบุคคลและสุขภาพจิตดังรูปประกอบที่ 4
ภาพประกอบที่ 4 ผลลัพธ์ของการร่วมมือ
ที่มา Johnson and
Johnson (1994 the new circles of leaving cooperation in
the classroom and school มานพ ธรรมสาร ผู้แปก กรมวิชาการ 2546 :
32)
ทักษะแห่งความร่วมมือ
Johnson and Johnson (1991,1994)
กล่าวว่าทักษะระหว่างบุคคลหลายทักษะส่งผลต่อความสำเร็จมีความพยายามร่วมมือกันทักษะแห่งความร่วมมือมีกี่ระดับ
คือ
1 และดับเครื่องนิสัย (forming)
ทักษะขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสร้างกลุ่มการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ
ให้ทำหน้าที่ได้เป็นทักษะเริ่มแรกของทักษะที่มุ่งการจัดการเรียนรู้และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำพฤติกรรมที่สำคัญบางประการเกี่ยวกับทักษะระดับสร้างนิสัยดังตัวอย่างต่อไปนี้
เคลื่อนไหวในกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนเวลาการทำงานกลุ่มเป็นสิ่งมีค่าจึงควรใช้เวลาในการจัดโต๊ะเก้าอี้และจัดกลุ่มการเรียน
ให้น้อยที่สุดตามความจำเป็นนักเรียนอาจจำเป็นต้องฝึกการจัดกลุ่มหลายๆครั้งก่อนที่จะปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล
อยู่ประจำกลุ่มนักเรียนที่เดินไปเดินมาในช่วงที่กลุ่มทำงานไม่ก่อให้เกิดผลดีและยังลบกวนสมาธิของสมาชิกกลุ่มอื่นด้วย
พูดเบาๆแม้ว่ากลุ่มการเรียนรู้ต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม
แต่ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงดังเกินไปคู่อาจมอบหมายให้นักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มเป็นผู้คอยกำกับให้ผู้อื่นพูดเบาๆ
กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม
สมาชิกกลุ่มทุกคนต้องร่วมกันคิด
ร่วมกันใช้สื่อการเรียนได้มีส่วนในความพยายามให้คุณบรรลุผลการให้นักเรียนผัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้นักเรียนทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วม
2. ระดับสร้างบทบาท (function
) ทักษะที่จำเป็นต่อการจัดกิจกรรมกลุ่มเพื่อทำงานให้สำเร็จและรักษาสัมพันธภาพในการทำงานที่มีประสิทธิผลในหมู่สมาชิกกลุ่มทักษะระดับที่สองนี้เน้นที่การจัดการความพยายามของกลุ่มเพื่อทำงานให้สำเร็จและรักษาความสัมพันธ์ในการทำงานที่มีประสิทธิผล
การทำให้สมาชิกกลุ่มจดจ่ออยู่กับการทำงานการหาวิธีดำเนินการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลและการสร้างบรรยากาศ
การทำงานที่น่าพึงพอใจและเป็นมิตรนั้นถือว่าเป็นการผสมผสานอันสำคัญที่จะนำไปสู่กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีประสิทธิผลตัวอย่างทักษะระดับสร้างบทบาท
และแนวทางการทำงานกลุ่ม โดย
1 แจ้งและย้ำความมุ่งหมายของงานที่ได้รับมอบหมาย 2 เดือนให้ใช้เวลาตามที่กำหนดไว้
และ 3 เสนอขั้นตอนว่าจะทำงานอย่างไรให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิผลที่สุด
แสดงออกถึงการสนับสนุนและการยอมรับทั้งการใช้คำพูดและการแสดงท่าทาง
โดยใช้การมองสบตาแสดงถึงความสนใจชมเชยแสวงหาความคิดและข้อสรุปของผู้อื่น
ขอความช่วยเหลือหรือความชัดเจนในสิ่งที่พูดหรือทำในกลุ่ม
เสนอให้คำอธิบายหรือชี้แจง
แปลความหมายข้อเสนอของสมาชิกอื่น
เสริมพลังให้กลุ่มเมื่อเห็นว่าแรงจูงใจลดลงโดยเสนอแนะความคิดใหม่ใช้อารมณ์ขันหรือ
แสดงความกระตือรือร้น
บรรยายความรู้สึกของตนเองเมื่อมีโอกาสเหมาะ
3 ระดับสร้างระบบ(formulating)
เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างความเข้าใจระดับลึกในเนื้อหาวิชาที่เรียน
เพื่อส่งเสริมให้ใช้กลยุทธ์การใช้เหตุผลที่มีคุณภาพสูงและเพิ่มความเชี่ยวชาญ
และความคงทนของความรู้ที่จะได้จากงานที่ปฏิบัติ ทักษะระดับที่สาม
นี้ทำให้เกิดกระบวนการทางสมองที่จำเป็นในการ สร้างความเข้าใจที่ลึกลงไปในเนื้อหาความรู้ที่เรียนกระตุ้นการใช้กลยุทธ์ในการใช้เหตุผลที่มีคุณภาพสูงและเพิ่มความเชี่ยวชาญ
และความคงทนของเนื้อหาความรู้ที่เรียนเนื่องจากความมุ่งหมายกลุ่มการเรียนรู้คือต้องการเพิ่มการเรียนรู้ของสมาชิกทักษะเหล่านี้มีเป้าหมายเฉพาะไปที่การให้รูปแบบวิธีการในการจัดระเบียบความรู้ที่เรียน
ทักษะระดับสร้างระบบสามารถดำเนินไปได้ในขณะที่สมาชิกกลุ่มรับบทบาทต่าง ๆ กันบทบาทที่สัมพันธ์กับทักษะเหล่านี้คือ
ผู้สรุปย่อ เป็นผู้กล่าวสรุปสิ่งที่อ่านหรือ
อภิปรายให้สมบูรณ์เท่าที่จะทำได้โดย ไม่อาศัยร่างบันทึกหรือสื่อการเรียนต้นฉบับควรสรุปข้อเท็จจริงและความคิดความสำคัญทั้งหมดไว้ในการสรุปย่อด้วยสมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องสรุปย่อจากความจำไปบ่อยเพื่อเพิ่มการเรียนรู้
ผู้แก้ไข เป็นผู้ระวัง
เรื่องความถูกต้อง โดยคอยแก้ไขข้อสรุปของสมาชิกแล้วเพิ่มเติมข้อสนเทศที่สำคัญซึ่งไม่ปรากฏในข้อสรุป
ผู้ประสานความร่วมมือ
เป็นผู้ประสานความร่วมมือโดย ขอให้สมาชิกอื่น ๆเชื่อมโยงความรู้ที่กำลังเรียนอยู่กับความ
รู้ ที่เรียนไปแล้ว และกับสิ่งอื่น ๆที่สมาชิกเรานั้นรู้
ผู้ช่วยจำ เป็นผู้หาวิธีการที่ดีในการจดจำข้อเท็จจริงและความคิดสำคัญ
โดยการใช้ภาพวาดสร้างมโนภาพหรือวิธีจำอื่น ๆ และนำมาร่วมหารือกันในกลุ่ม
ผู้ตรวจสอบความเข้าใจ
เป็นผู้ขอให้สมาชิกกลุ่มอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนถึงเหตุผลที่ใช้ในการทำงานให้สำเร็จซึ่งจะทำให้การให้เหตุผลของนักเรียนชัดแจ้ง
และเปิดกว้างต่อการปรับแก้และอภิปราย
ผู้ขอความช่วยเหลือเป็นผู้เลือกที่จะคอยให้ความช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่มรวมทั้งเป็นผู้ตั้งคำถามที่ชัดเจนและตรงประเด็นและทำอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะช่วยเหลือสำเร็จ
ผู้อธิบายเป็นผู้บรรยายวิธีการทำงานให้สำเร็จ(โดยไม่ให้คำตอบ)
ให้ข้อมูลย้อนกลับที่เจาะ
จงเกี่ยวกับงานนักเรียนอื่นและลงท้ายด้วยการขอให้นักเรียนอื่นบรรยายหรือสาธิตวิธีการทำงานให้สำเร็จ
ผู้ให้ความสะดวกในการอธิบายเป็นผู้ขอให้สมาชิกกลุ่มวางแผนที่จะสอนเนื้อหาความรู้ให้นักเรียนคนอื่นโดยละเอียดการวางแผนวิธีการถ่ายทอดความรู้ที่ดีที่สุดมีผลต่อคุณภาพของกลยุทธ์การให้เหตุและผลและความคงทนของความรู้
4 ระดับสร้างเสริม (fermenting)
ทักษะที่จำเป็นต่อการส่งเสริมการรับรู้เหตุผลในสิ่งที่เรียนความขัดแย้งด้าน
การรู้คิด การค้นหาความรู้เพิ่มเติมและการสื่อสารกันด้วยหลักเหตุผลเมื่อมีการสรุปผลทักษะแห่งความร่วมมือระดับที่สี่ที่ทำให้นักเรียนสามารถเข้าร่วมในการโต้แย้งทางวิชาการได้ประเด็นสำคัญที่สุดบางประการของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อสมาชิกกลุ่มท้าทายการสรุปผลและการให้เหตุผลของกันและกันอย่างคล่องแคล่วการโต้แย้งทางวิชาการทำให้สมาชิกกลุ่ม
"เจาะลึก"
เนื้อหาความรู้ที่เรียนและดมหลักเหตุผลในข้อสรุปคิดแบบแยกเกี่ยวกับปัญหาหาข้อสนเทศเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตน
และอธิบายโต้แย้งสร้างสรรค์ เกี่ยวกับทางเลือกของการแก้ปัญหาและการตัดสินใจทักษะที่เกี่ยวข้องกับการโต้แย้งทางวิชาการได้แก่
การวิจารณ์ความคิด
โดยไม่วิจารณ์คน
แบ่งแยกความต่างเมื่อมีความเห็นขัดแย้งขึ้นในกลุ่มการเรียนรู้
บูรณาการความคิดหลายความคิดให้เป็นจุดยืนเดียว
ขอคำชี้แจงในเรื่องการสรุปผลหรือคำตอบของสมาชิกขยาย
ความสรุปหรือคำตอบของสมาชิกอื่นโดยเพิ่มเติมข้อมูลหรือแสดงในที่ นอกเหนือออกไป
ตรวจสอบโดยการตั้งคำถามซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกลงไปหรือการวิเคราะห์("มันจะได้ผลหรือไม่ในสถานการณ์นี้.."
"มีอย่างอื่นอีกหรือไม่ที่ทำให้คุณเชื่อ..?")
ให้คำตอบลึกลงไปอีกโดยเจาะลึกลงไปนอกเหนือคำตอบหรือข้อสรุปและให้คำตอบที่มีความเป็นไปได้หลายๆคำตอบให้เลือก
ทดสอบความจริงโดยการตรวจสอบงานของกลุ่มในเรื่องวิธีการทำงานเวลาที่มีและปัญหาที่กลุ่มเผชิญ
ทักษะความร่วมมือช่วยให้สมาชิกกลุ่มมีแรงจูงใจในการให้คำตอบที่ดีมีคุณภาพสูงนอกเหนือจากคำตอบที่ตอบออกมาอย่างฉับพลัน
โดยการกระตุ้นการคิดและความรู้อยากเห็นทางพุทธิปัญญาของสมาชิกกลุ่ม
สรุป
ในการจัดการเรียนการสอนจะตัดสินใจว่าปัญหาในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนนั้นเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขด้วยการศึกษาการวางแผนจัดการเรียนการสอนจะต้องมีการวิเคราะห์เนื้อหาสาระวิเคราะห์งานและภาระงานการวิเคราะห์ภาระงานนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อสนองตอบความต้องการ
การเรียนรู้กล่าวคือการทบทวนระบบหรือกระบวนการเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นและผู้เรียนจะ
ได้รับภาระงาน
สำหรับการเรียนการสอนส่วนภาระหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องก็ควรจะถูกตัดออกหรือใช้วิธีอื่นที่ไม่ใช่การสอนพลังงานที่เลือกมาต้องทำมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
ซึ่งการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องแสวงหาวิธีการที่ดีที่สุดภายใต้กรอบค่าใช้จ่ายที่ได้รับ(มีประสิทธิภาพ)
และต้องสนองตอบจุดหมายของการเรียนรู้(มีประสิทธิผล)ไปพร้อมกัน
ตรวจสอบและทบทวน
ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้นวิเคราะห์ภาระงาน
ปฏิบัติการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ด้วยการระบุงานและพนักงานโดยใช้แนวทางการวิเคราะห์พลังงานของหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐานแล้วระบุเป็นชิ้นงานหรือภาระงานที่ผู้เรียนปฏิบัติการออกแบบพลังงานที่ผู้เรียนต้องใช้ความรู้และทักษะ(จากขั้นการกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้(setting
learning goals) ลักษณะสำคัญของงานคือต้องกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจกับผู้เรียนมีความท้าทายแต่ไม่ยากเกินไปจนผู้เรียนทำไม่ได้ในขณะเดียวกันต้องควบคุมสารสกัดธรรมชาติและทักษะที่ลึกซึ้งเพื่อให้สามารถนำผลการประเมินไปใช้ได้อย่างสมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น