วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

SETTING LEARNING GOALS : กำหนดจุดหมายการเรียนรู้

บทที่2
การกำหนดจุดหมายการเรียนรู้ (settingLearning Goals)   
         
                    การกำหนดจุดหมายการเรียนรู้ผู้เรียนต้องระบุจุดหมายการเรียนรู้โกลด์ด้วยการระบุความรู้และการปฏิบัติโดยการระบุความรู้ในรูปของสารสนเทศและระบุทักษะการปฏิบัติกระบวนการจุดหมายการเรียนรู้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยจำนวนของบทเรียนปริมาณเนื้อหาสาระ หรือความรู้สูงสุดแต่หมายถึงความคาดหวังที่จะเรียนรู้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งและเจตนาที่จะให้ผู้เรียนแสดงถึงสิ้นท่าเรียนรู้

จุดหมายการเรียนรู้
             จุดหมายการเรียนรู้ (learning Goals)  ความปรารถนาอยากเรียนรู้ ความปรารถนาอาจมาจากบุคคล ประสบการณ์ สถานการณ์พิเศษหรืออื่นๆ David Healy Feldman  (อ้างถึงในอารี สัณหฉวี 2546 : 140 ) อารี สุณหาฉวีแปลความเก่ง 7 ชนิด ค้นหาและพัฒนาพหุปัญญาในตน กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.)  ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ เรียกสิ่งที่จุดประกายความปรารถนาที่จะเรียนรู้นี้ว่า ประสบการณ์ตกผลึก (crystallizing experiences ) ประสบการณ์ประทับใจหรือประสบการณ์ตกผลึกนี้  จะเป็นประสบการณ์ที่เป็นจุดหักเหของชีวิต  ถ้าความปรารถนาที่จะเรียนรู้เกิดขึ้นหลังประสบการณ์ตกผลึก ก็จะต้องมีการพัฒนาฟูมฟัก Alfred North Whitehead (อ้างถึงในอารี  สัณหฉวี 2546 : 141 ) กล่าวว่าในการพัฒนาฟูมฟักมี 3 ขั้น เรียกว่า จังหวะของการศึกษา (rhythm of education ) ขั้นที่หนึ่งคือ ระยะหลงรัก (romance) ระยะนี้จะเป็นความรื่นเริง มีชีวิตชีวาที่จะเรียนรู้ ขั้นที่สอง คือ ระยะของความแม่นยำ (precision) ระยะนี้จะต้องศึกษาฝึกฝนฝึกซ้อมให้ถูกต้องแม่นยำ และขั้นที่สาม คือ ระยะของความคล่องแคล่ว สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้ (generalization) การกำหนดจุดหมายการเรียนรู้เป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาปัญญา ซึ่งอาจวางแผนเพื่อพัฒนาปัญญาด้านใดด้านหนึ่งมาศึกษาและฝึกหัด ในการวางแผนพัฒนาปัญญานี้ ผู้ที่ถนัดด้านมิติอาจทำเป็นเส้นเวลาหรือรูปภาพ ผู้ที่ถนัดด้านมนุษยสัมพันธ์อาจจะเล่าเรื่องให้เพื่อนสนิทฟัง เป็นต้น

จุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
            Bloom และคณะ (1956) ได้จัดกลุ่มการเรียนรู้ออกเป็นสามประเภท คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านทักษะพิสัย และด้านพิสัย พุทธพิสัยรวมถึงการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะพิสัย รวมถึงการพัฒนาเสรีทางกายและทักษะที่ต้องการใช้กล้ามเนื้อสัมพันธ์กับประสามจิตพิสัยเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งเจตคติ ความซาบซึ้งและค่านิยม การเรียนรู้ทั้งสามประการนี้ควรได้รับการพิจารณาในการวางแผนผลที่ได้รับจากการเรียนรู้ที่ได้จากการเรียนการสอน ในการที่จะประสบผลสำเร็จตามจุดหมายของการศึกษา ขอบเขตการเรียนรู้ทั้งสามนี้ต้องได้รับการบูรณาการเข้าไว้ในทุกลักษณะของการเรียนการสอนและการพัฒนาหลักสูตรซึ่งจะทำให้ผู้เรียนกลายเป็นจุดโฟกัสของกระบวนการเรียนการสอนการเรียนรู้ ดังภาพประกอบที่ 3



ภาพประกอบที่ 3 บูรณาการของพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย

อนุกรมภิธาน เป็นระบบของการแยกแยะบางสิ่งบางอย่าง ดังนั้น อนุกรมภิธานของการศึกษาจึงแยกแยะพฤติกรรมที่นักเรียนสามารถคาดหวังที่จะทำให้ได้ภายหลังจากที่ได้เรียนรู้แล้ว อนุกรมภิธานเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด คือ อนุกรมภิธานด้านพุทธิพิสัยของบลูมและคณะ
พุทธิพิสัย รวมถึง ความรู้ ความเข้าใจการนำไปประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า พุทธิพิสัยแต่ละประเภทในอนุกรมภิธานประกอบด้วยองค์ประกอบบางประการของประเภทความรู้ที่ต้องมาก่อนอนุกรมภิธานนี้มีประโยชน์สำหรับการออกแบบหลักสูตรและการสร้างแบบทดสอบ

ตารางที่ 1 อนุกรมภิธานทางปัญญาของบลูม

ระดับพฤติกรรม
นิยาม
1.     ความรู้
เกี่ยวข้องกับความจำและการระลึกได้ของข้อความจริงเฉพาะคำต่างๆ
สัญลักษณ์ วันที่ สถานที่ ฯลฯ
กฎ แนวโน้ม ประเภท วิธีการ ฯลฯ
หลักการ ทฤษฎี วิธีการจัดความคิด
2.     ความเข้าใจ
เกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะใช้ การเรียนรู้ แปลความ สรุปความ ตีความ ย่อความ ขยายรายละเอียด ทำนายผล และผลที่ติดตามมา
3.     การนำไปประยุกต์
เกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะใช้ในการเรียนรู้ที่หลากหลายสถานการณ์การใช้หลักการและทฤษฎีการใช้ความเป็นนามธรรม
4.     การวิเคราะห์
เกี่ยวข้องกับการแตกส่วนใหญ่ให้เป็นส่วนย่อยระบุหรือแยกส่วนขององค์ประกอบค้นพบปฏิสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหลักการ
5.     การสังเคราะห์
เกี่ยวข้องกับการผสมผสานองค์ประกอบเข้าด้วยกันเป็นสิ่งใหม่ระบุและเชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นการใหม่ๆ จัดการผสมผสานส่วนย่อยต่างๆเข้าด้วยกันสร้างสิ่งใหม่ขึ้น
6.     ประเมินค่า
เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณค่าของวัตถุและวิธีการ  พิจารณาในรูปของมาตรฐานภายในพิจารณาในรูปของมาตรฐานภายนอก

ตารางที่ 2 อนุกรมภิธานทางเจตคติของบลูม

ระดับพฤติกรรม
นิยาม
1.     การรับรู้
เกี่ยวข้องกับความตั้งใจทางอ้อมที่มีต่อสิ่งกระตุ้น การรับรู้ข้อความจริง ความถูกต้อง เหตุการณ์หรือโอกาส ความตั้งใจในการสังเกต หรือความตั้งใจที่มีต่อภาระงาน เลือกสิ่งกระตุ้น
2.     การตอบสนอง
เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งกระตุ้น การยินยอมตามีทิศทาง การอาสาสมัครด้วยตนเอง ความพึ่งพอใจหรือความร่าเริง
3.     ค่านิยม
การให้คุณค่ากับบางอย่างเกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้อง แสดงออกถึงความเชื่ออย่างแข็งขันในบางสิ่งบางอย่าง แสดงออกถึงความชอบมากกว่าในบางอย่าง แสวงหากิจกรรมเพื่อบางอย่างข้างหน้า
4.     การจัดการ
เป็นการจัดคุณค่าให้มีระบบ เห็นคุณค่าที่ยึดถือมีความสัมพันธ์กับคุณค่าอื่นๆ ก่อตั้งคุณค่าที่มีลักษณะเด่น เป็นค่านิยมของตนเอง
5.     คุณลักษณะ
เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับระบบค่านิยมหรือคุณค่าภายใน กระทำที่สอดคล้องในทิศทางที่มีความแน่ใจ การพัฒนาปรัชญาชีวิตที่มีความคงเส้นคงวาทั้งหมด







ตารางที่ 3 อนุกรมภิธานทางทักษะพิสัย

พฤติกรรมการเรียนรู้
นิยาม
การเคลื่อนไหวทั่วไป
(Generic movement)
ปฏิบัติการเคลื่อนไหวหรือกระบวนการซึ่งให้ความสะดวกต่อการพัฒนาแบบการเคลื่อนไหวของมนุษย์
1.     การรับรู้
การจำท่าการเคลื่อนไหว  รูปร่าง แบบและทักษะโดยอวัยวะรับความรู้สึก
2.     เลียนแบบ
เลียนแบบ  แบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะในเชิงของผลที่ได้จากการเรียนรู้
3.     สร้างแบบ
จัดและใช้ส่วนของร่างกายในทิศทางที่ผสมกลมกลืน  เพื่อให้ประสบความสำเร็จในแบบการเคลื่อนไหวหรือทกษะ
การเคลื่อนไหวตามปกติ (Ordinry movement )
การพบข้อกำหนดของภาระงานการเคลื่อนไหวผ่านกระบวนการของการจัดการการแสดงออกและการแก้ไขแบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะ
1.     การปรับตัว
ปรับแบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะเพื่อให้พบกับภาระงานเฉพาะอย่างที่ (adaping)ต้องการ
2.     การแก้ไข
ความกระตือรือร้นที่จะเคลื่อนไหวอย่างราบเรียบ  แบบการเคลื่อนไหวหรือ (refining)ทักษะที่แสดงออกมีประสิทธิภาพในเชิงแห่งผลของกระบวนการปรับปรุง  เช่น
     1.ขจัดการเคลื่อนไหวที่แทรกซ้อน
     2.รอบรู้ถึงความสัมพันธ์ของอวกาศกับจังหวะ
     3.การแสดงออกทางนิสัยภายใต้สภาวะแทรกซ้อน
การเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์
(Creative movement)

กระบวนการในการประดิษฐ์หรือสร้างสรรค์การเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยทักษะซึ่งจะสนองความมุ่งหมายของผู้เรียน
1.     ความหลากหลาย
ประดิษฐ์หรือสร้างทางเลือกในการปฏิบัติแบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะ (Varying)
2.     การดัดแปลงโดย
การเริ่มท่าการเคลื่อนไหว การริเริ่มผสมผสานท่าการเคลื่อนไหวไม่ต้องเตรียมตัว (improvising)
3.     แต่งท่าการเคลื่อนไหว
สร้างสรรค์การออกแบบการเคลื่อนไหว หรือทักษะที่มีคุณค่า (composing)

          จิตพิสัย การเรียนรู้ทางเจตคติพาดพิงถึงคุณลักษณะของอารมณ์ของการเรียนรู้ เกี่ยวข้องการว่านักเรียนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนรู้ รู้สึกอย่างไรกับการเรียนรู้กับตนเอง และเป็นการพิจารณาความสนใจ ความซาบซึ้ง เจตคติค่านิยมและคุณลักษณะของผู้เรียน
          ทักษะพิสัย เกี่ยวข้องกับทางร่างกายหรือทักษะทางประสาทและกล้ามเนื้อสัมพันธ์กันในการเฝ้าดูการเรียนรู้ที่จะเดินก็จะเกิดความคิดว่ามนุษย์เรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อเด็กได้รับความคิดว่าต้องการอะไร และมีทักษะที่ต้องมีมาก่อนมีความแข็งแรง และวุฒิภาวะและอื่นๆ เด็กจะพยายามมีความหยาบๆ ซึ่งจะค่อยๆ แก้ไขผ่านข้อมูลกลับย้อนมาจากสิ่งแวดล้อม เช่น ธรณีประตู การหกล้ม พรมผู้ปกครอง และสุดท้ายทักษะการแสดงออกซึ่งมีคุณค่าต่อวัยเตาะแตะนั้น

การปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
          แอนเดอร์สัน และแครทโฮล ( 2001) ได้ปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม ( Bloom’ Taxonomy revise ) ดังตารางที่ 4

ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบ Bloom’ Taxonomy 1956 และ 2001
New Version ( Bloom’s Taxonomy 2001 )
Old Version ( Bloom’s Taxonomy 2001 )
สร้างสรรค์ -Creating
การประเมิน -Evaluation
ประเมิน -Evaluation
การสังเคราะห์ -Synthesis
วิเคราะห์ -Analysing
การวิเคราะห์ -Analysis
ประยุกต์ -Applying
การนำไปใช้ -Application
ความเข้าใจ -Understand
ความเข้าใจ -Application
ความจำ -Remembering
ความรู้ -Knowledge

         
           Bloom (1956)  ใช้คำนามในการอธิบายความรู้ ประเภทต่างๆ ในฉบับปรับปรุงปี 2001 ใช้คำกริยา และปรับเปลี่ยนคำว่าความรู้ (Knowledge) เป็นความจำ (Remember) เมื่อนำเขียนจุดมุ่งหมายการศึกษา ของหลักสูตรที่อิงมาตรฐาน (standards – based curriculum) จะเขียนได้ว่า ผู้เรียนควรรู้และทำอะไรได้ (เป็นกิริยา) และได้จัดความรู้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ ข้อเท็จจริง (factual) มโนทัศน์ (concept) กระบวนการ (procedural) และอภิปัญญา (meta-cognition) และมีการเปลี่ยนแปลงขั้นพฤติกรรมหลักในกรอบเดิม 2 ขั้นคือ ขั้นความเข้าใจ (comprehension) เปลี่ยนเป็นเข้าใจความหมายและขั้นประเมิน (evaluation) เป็นสร้างสรรค์ (create)

การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษา (Revised’s Bloom Taxonomy) ที่กล่าวถึงมิติทางการเรียนรู้ ของ Bloom และคณะ 1956 ซึ่งแอนเดอร์สันและแครธโทร (Anderson and Krathwohl,2001) ได้กล่าวถึงรายละเอียดของพฤติกรรมผู้เรียนและผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcome) โดยจำแนกเป็น 2 กลุ่มคือ 1) มิติด้านกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Dimension Process) และ 2) มิติด้านความรู้ (Knowledge Dimension) มิติด้านกระบวนการทางปัญญาได้แก่ การจำ (remember) เรียกความรู้จากหน่วยความจำระยะยาว ความเข้าใจ (Understanding) ศึกษาความหมายจากข้อมูลที่เรียนรู้ รวมถึงการพูด การเขียนและการสื่อสารด้วยรูปร่าง ประยุกต์ใช้ (Applying) ประยุกต์ขั้นตอน/กระบวนการในงานที่คุ้นเคย วิเคราะห์ (Analyzing) จำแนกองค์ประกอบและหาความสัมพันธ์เพื่อกำหนดโครงสร้างหรือเป้าหมายใหม่ ประเมิน (Evaluating) ตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์และมาตรฐาน และสร้างสรรค์ (Creating) จัดองค์ประกอบหรือหน้าที่ให้เชื่อมโยงกันไปสู่รูปแบบหรือโครงสร้างใหม่
          มิติด้านความรู้ จำแนกระดับความรู้เป็น 4 ระดับ ได้แก่ 1) ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง (Factual Knowledge) พื้นฐานของผู้เรียนต้องรู้จักหลักการหรือวิธีการแก้ปัญหา 2) ความรู้ที่เป็นมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบพื้นฐานในโครงสร้างทั้งหมดที่จะทำให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ 3 )ความรู้ในการดำเนินการ (Procedural Knowledge) วิธีการสืบค้นและเกณฑ์ในการใช้ทักษะเทคนิควิธีการเพื่อดำเนินการ และ 4) ความรู้อภิปัญญา (Metacognitive Knowledge) ความรู้จากการรับรู้และเข้าใจในตนเอง การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษามีได้กล่าวถึงอภิปัญญา (Meta cognitive Knowledge) เป็นมิติหนึ่งของความรู้ คือ การมีความรู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับความรู้ทางปัญญาโดยทั่วไป รู้ถึงความรู้ในตนเอง ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษานี้จะมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ระดับอภิปัญญา (Meta cognitive Knowledge) ตระหนักในตนเอง (meta awareness) การไตร่ตรอง ย้อนคิดในตนเอง (Self - reflect) และการกำกับดูแลตนเอง (Self - reflect)

          เขียนตารางแสดงความสัมพันธ์ของมิติด้านกระบวนการทางปัญญา () และ 2) มิติด้านความรู้ () ได้ดังนี้
ตารางที่ 5 ความสัมพันธ์ของมิติด้านกระบวนการทางปัญญา กับ มิติด้านความรู้


Cognitive Process
The Knowledge Dimension
1
Remember
2
Understand
3
Apply
4
Analyze
5
Evaluate
6
Create
Factual






Conceptual






Procedural






Metacognitive






 ที่มา : ปรับจาก Anderson, L. W. and Krathwohl, D. R., et al (Eds..) (2001)

           Anderson and Krathwohl (2001) นำเสนอรูปแบบของอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ความรู้ทางปัญญา (Knowledge of Cognition) และกระบวนการในการดูแล ควบคุมกำกับติดตามตนเอง โดยแบ่งเป็นอภิปัญญาในความรู้ (Meta cognitive knowledge) และอภิปัญญาในการควบคุมตนเอง (Meta cognitive Control) และความรู้เกี่ยวกับอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1. ความรู้ในกลยุทธ์วิธีการเรียนรู้ (Strategic knowledge) คือ ความรู้ในกลยุทธ์ยุทธวิถี การเรียนรู้ การคิดการแก้ปัญหาในกลุ่มทุกวิชา 2. ความรู้ในการเลือกใช้กลยุทธ์และวิธีการเรียนรู้ (Knowledge about Cognitive takse) คือ การเลือกกลยุทธ์ ยุทธวิธี ที่เหมาะสมกับภาระงานชิ้นงาน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในสภาพที่แตกต่างกัน และ 3. การรู้ในตนเอง (Self - Knowledge) คือ การรู้ถึงความรู้ ความสามารถของตน การประเมินตนเองทั้งจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา และ ควรพัฒนาตนเองอย่างไรเพื่อให้บรรลุภาระชิ้นงานหรือมีความรู้ที่เพียงพอในการแก้ปัญหานั้นๆ
 
จุดมุ่งหมายการศึกษาของมาร์ซาโน

          Marzano and Kendall, (2007) ได้พัฒนาการจัดกลุ่มพฤติกรรมการเรียนรู้ขึ้นใหม่แบ่งเป็น 1) ระบบปัญญา (Cognitive System) 2) ระบบอภิปัญญา (Meta cognitive System) และ 3) ระบบตนเอง (Self-System) และได้จัดจำแนกอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเป็น 6 ขั้น
          ขั้นที่ 1 การดึงกลับคืนมา (Retrieval) ได้แก่ การระบุข้อความได้ การระลึกได้ และลงมือปฏิบัติได้ (Executing)
          ขั้นที่ 2 ความเข้าใจ (Comprehension) ได้แก่ การบูรณาการและการทำให้เป็นรัฐสัญลักษณ์ (Symbolizing)
          ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์ (Analysis) ได้แก่การจับคู่ได้ (Matching) แยกประเภทได้ (Classifying) วิเคราะห์ความผิดพลาดได้ (Analysis Error) ติดตามได้ (Generalizing) และชี้ให้จำเพาะเจาะจงได้ (Specifying)
          ขั้นที่ 4 การนำความรู้ไปใช้ (Knowledge Utilizing) ได้แก่ การตัดสินใจ (Decision Making) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทดลองปฏิบัติ (Experimenting) และการสืบค้นต่อไปให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
          ขั้นที่ 5 อภิปัญญา (Meta-cognition) ได้แก่ การระบุจุดหมาย (Specifying Goals) การกำกับติดตามกระบวนการ (Process Monitoring) การทำให้เกิดความชัดเจนในการกำกับติดตาม (Monitor Clarity) และการกำกับติดตามตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring Accuracy)
           ขั้นที่ 6 การมีระบบความคิดของตนเอง (Self – System thinking) ได้แก่ การตรวจสอบประสิทธิภาพ (Examining Efficacy) การตรวจสอบการตอบสนองทางอารมณ์ (Examining Emotional Response) และการตรวจสอบแรงจูงใจ (Examining Motivation)

          Marano, (2000) ได้นำเสนอมิติใหม่ทางการศึกษา ดังนี้
ตารางที่ 6 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบตนเอง

ระบบตนเอง (Self - System)
ความเชื่อเกี่ยวกับความสำคัญของความรู้ (Beliefs About the Importance of Knoeledge)
ความเชื่อเกี่ยวกับประสิทธิภาพ (Beliefs About Efficacy)
อารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวพันกับความรู้ (Emotions Associated with Knowledge)


ตารางที่ 7 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบอภิปัญญา

ระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive System)
การบ่งชี้จุดหมาย (Specifying Learning Goals)
การเฝ้าระวังในกระบวนการ/การนำความรู้ไปใช้ (Monitoring the Execution Knowledge)
การทำให้เกิดความชัดเจน (Monitoring Clarity)
การตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring Accuracy)

ตารางที่ 8 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบปัญญา

ระบบปัญญา (Cognitive System)
การเรียกใช้ความรู้ (Knowledge Retrieval)
ความเข้าใจ (Comprehension)
การวิเคราะห์ (Analysis)
การนำความรู้ไปใช้ (Knowledge Utillizing)
การระลึกได้ () การลงมือปฏิบัติได้
การสังเคราะห์ () การกำหนดสัญลักษณ์/การเป็นตัวแทน ()
การจับคู่ได้ () แยกประเภทได้ () วิเคราะห์ความผิดพลาดได้ () การกำหนดเป็นเกณฑ์ทั่วไป () การกำหนดเฉพาะเจาะจงได้ ()
การตัดสินใจ () การแก้ปัญหา () การทดลองปฏิบัติ () การสืบค้นต่อไปให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ()
ขอบเขตความรู้ ()
ข้อมูล ()
ขั้นการคิดวิธีการดำเนินการ ()
ขั้นการลงมือทำ ()
3) การเรียนแบบร่วมมือ ()
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในการส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้
4) ให้คำแนะนำ, ใช้คำถามและมโนทัศน์ล่วงหน้า ()
คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถจดจำ ใช้ และจัดการกับความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา
5) การแสดงออกโดยภาษากาย ()
หมายถึง การส่งเริมให้ผู้เรียนสามารถนำเสนอและให้รายละเอียดในการแสดงถึงความรู้
6) สรุปความและจดบันทึก ()
หมายถึง การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและจัดการกับข้อมมูลโดยการสรุปสาระสำคัญ และข้อมูลสนับสนุน
7) มอบหมายงานและปฏิบัติ ()
หมายถึง การให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ, ทบทวนและประยุกต์ใช้ความรู้ การสร้างเสริมให้นักเรียนได้เข้าถึงระดับของความเชี่ยวชาญในทักษะหรือกระบวนการที่คาดหวัง
8) ระบุความเหมือนความแตกต่าง ()
หมายถึง การจัดการเรียนร็ที่ส่งเสริมนักเรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้ กระบวนการทางปัญญาในการระบุหรือจำแนกสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง
9) สร้างและทดสอบสมมติฐาน ()
หมายถึง การจัดการเรียนร็ที่ส่งเสริมนักเรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้และกระบวนการทางปัญญาในการสร้างและทดสอบสมมติฐาน


Marzano, R., & Kendall, J. (2001) นำเสนอระบบอภิปัญญา เป็นระบบที่มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเอง ที่มุ่งให้ผู้เรียนควบคุม กำกับ ดูแล การปฏิบัติภาระงานชิ้นงาน ตามเป้าหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การติดตามดูแลปรับปรุง ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ วิธีการต่างๆตามความจำเป็นและเหมาะสมให้ภาระงานชิ้นงานนั้นลุล่วงตามภารกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ครู แนวคิดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในด้าน ตามที่มาร์ซาโน(Marzano Taxonomy) ได้นำเสนอไว้เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ Blooms Taxonomy และ Marzano Taxonomy) ได้ดังนี้





ตารางที่ 9 การเปรียบเทียบ Bloom’s Taxonomy และ Marzano Taxonomy)
Bloom’s
Bloom’s Revised
                                                            







Evaluation
Creating
Synthesis
Evaluation
Analysis
Analyzing































Marzano Taxonomy
Self – System : M

















ที่มา : สุเทพ อ่วมเจริญ .วัชรา เล่าเรียนดี และประเสริฐ มงคล การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ของนักศึกษาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2559 :35.





          จากตารางเปรียบเทียบสรุปว่า วัตถุประสงค์การเรียนรู้ตาม Bloom Taxonomy ด้าน cognitive domain นั้น Marzano Taxonomy เรียกว่า cognitive system อีก 2 ระบบที่เพิ่มขึ้นไม่พบใน Bloom Taxonomy คือ Meta-cognitive system และ self-system มาร์ซาโน ได้อ้างถึง แนวคิดของ Sternberg (Marzano, 1998: 54 -57 ) กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของระบบอภิปัญญาที่ใช้ใน การจัดการตนเอง (organizing) การกำกับติดตาม (Monitoring) การประเมิน (Evaluation)และการควบคุม (regulating) ซึ่งองค์ประกอบของการรู้คิดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ มาร์ซาโน กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของระบบอภิปัญญาที่ใช้ในการจัดการตนเอง (organizing ) การกำกับติดตาม (Monitoring) การประเมิน (Evaluating) และการควบคุม (regulating) โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มได้แก่
1.     การระบุจุดหมายเฉพาะเจาะจง (Goal specification) คือ การกำหนดจุดหมายของชิ้นงาน (the job of the goal) ที่ผู้เรียนตัดสินใจเลือกปฏิบัติ โดยมีการกำหนดผลสำเร็จของงานในแต่ละขั้น
2.     การระบุกระบวนการที่ชัดเจน (Process specification ) คือการกำหนดความรู้ ทักษะหรือกลวิธี ขั้นตอน/กระบวนการเพื่อการบรรลุจุดหมายของชิ้นงานอย่างเหมาะสม
3.     การกำกับดูแลกระบวนการ (Process monitoring) คือ การติดตามควบคุมแต่ละกระบวนการแต่ละขั้นตอนในการนำทักษะ กลวิธีไปใช้สร้างสรรค์งานชิ้นงานอย่างมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพโดยใช้เวลาและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
4.     การกำกับดูแลการปฏิบัติของตน (Disposition monitoring ) คือ การเป็นการควบคุมตนเองในการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เพื่อให้งานเกิดประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ เช่น การให้ความสำคัญกับงานมุ่งเน้นผลผลิตที่มีความถูกต้อง แม่นยำ ความเป็นระบบ มีแรงจูงใจในการทํางาน มีส่วนร่วมในการทำงาน ฯลฯ

          แนวคิดเกี่ยวกับระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive system) ของ Marzano กล่าวสรุปองค์ประกอบของระบบอภิปัญญาได้เป็น 4 กลุ่มคือ 1) การกำหนดจุดหมายของการเรียนรู้ (Specifying Learning Goals) 2) การกำกับติดตามการปฏิบัติของกระบวนการทางปัญญา (Monitoring the Execution of Knowledge) 3) การดูแลติดตามความชัดเจน (Monitoring Clarity) และ 4) การกำกับติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring Accuracy)
          แนวคิดการกำหนดวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานของกระบวนการคิดร่วมกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการคิดของผู้เรียน ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษาที่มาร์ซาโน(Marzano) พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 ระบบได้แก่ 1) Self-System คือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในตนเองในการปฏิบัติภาระงานชิ้นงานด้วยความเต็มใจตั้งใจมีความสุข และมีความมุ่งหวังให้งานเกิดความสำเร็จ 2 ) Meta-cognitive คือ ระบบการควบคุมตนเองให้ปฏิบัติภาระงานชิ้นงาน ที่เกิดขึ้นให้บรรลุผล ด้วยการการกำหนดจุดหมายของการเรียนรู้ (Specifying Learning Goals) การดูแลติดตามการปฏิบัติของกระบวนการทางปัญญา (Monitoring the Execution of Knowledge) การดูแลติดตามความชัดเจน (Clarity) และการดูแลติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring Accuracy) และ 3 ) Cognitive System คือ กระบวนการทางปัญญา (Mental Process) ที่จะปฏิบัติภาระงานชิ้นงานสำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่งระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive) ถือเป็นระบบที่มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบแนะนำตนเอง (Self - Directed Learning) ที่มุ่งให้ผู้เรียนควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติภาระงานชิ้นงาน ตามจุดหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ ยุทธวิธีและข้อมูลที่เกี่ยวข้องตลอดจนการติดตามดูแลปรับปรุงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการต่างๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสมให้ภาระงานชิ้นงานนั้นลุล่วงตามภารกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สอน



การกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมายมี 2 ลักษณะคือ
จุดมุ่งหมาย(goals) ที่มีลักษณะกว้างๆซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่ไม่สามารถวัดหรือ 
สังเกตได้ทันที
จุดมุ่งหมายที่มีลักษณะเฉพาะ สังเกตเห็นพฤติกรรมหรือการปฏิบัติของผู้เรียนได้ บางครั้งเรียกว่าจุดประสงค์การเรียนรู้ (performance objective) จำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ จุดประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพ (potential performance) จุดประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ (typical performance)
การเขียนจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจนสื่อความหมายให้เข้าใจในเพียงหนึ่งเดียว
การระบุสมรรถภาพให้ชัดเจน ควรได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรียนรู้จบรายวิชาแล้วมีความสามารถที่จะทำอะไรได้ โดยที่เอก่อนเรียนรู้รายวิชานั้นๆยังไม่สามารถทำได้
การเชื่อมโยงอดีตกับอนาคต ถ้าเป็นไปได้เน้นย้ำมโนทัศน์จากชั้นเรียนที่ผ่านมา พยายามเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์กับมโนทัศน์ที่จะเรียนในอนาคต
จุดมุ่งหมายกับการทดสอบ ถ้าเราเขียนจุดมุ่งหมายได้ชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหาจะทำให้สร้างแบบทดสอบได้ง่าย ยังไม่สามารถกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะให้ได้เป็นอย่างดี

การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก ABCD
A แทน Audience หมายถึง ผู้เรียนที่แสดงพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายและ
กำหนดเวลา
B แทน Behavior หมายถึง พฤติกรรมที่คาดหวังจากผู้เรียนโดยเน้นพฤติกรรมที่
สังเกตได้
C แทน Conditions หมายถึง สภาพการณ์หรือเงื่อนไขที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติ
หรือแสดงพฤติกรรมที่สามารถวัดได้
D แทน Degree หมายถึง ระดับหรือเกณฑ์การวัดที่กำหนดขึ้นมาให้ผู้เรียนปฏิบัติ



การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก SMART
1.     S - Sensible and Specific จุดมุ่งหมายต้องเฉพาะเจาะจงชัดเจน
จุดมุ่งหมายการเรียนการสอนที่ดีต้องมีความเป็นไปได้และชี้เฉพาะ
2.     M - Measurable จุดมุ่งหมายต้องสามารถวัดผลได้ ซึ่งช่วยให้ได้ข้อมูลว่าผล
การดำเนินการเป็นอย่างไร ประสบความสำเร็จหรือไม่
3.     A - Attainable and Assignable จุดมุ่งหมายต้องเป็นไปได้ และผู้เรียนหรือ
ผู้ปฏิบัตินำไปปฏิบัติได้หรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
4.     R- Reasonable and Realistic จุดมุ่งหมายต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลกัน
และเป็นไปได้จริง
5.     T - Time Available จุดมุ่งหมายต้องมีกำหนดเวลาเป็นไปได้ตามเวลา เมื่อ
เวลาเปลี่ยนไปหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ จุดมุ่งหมายก็ควรเปลี่ยนไปด้วย

จุดมุ่งหมายการศึกษาอิงมาตรฐาน
Harris and Carr (1996 รุ่งนภา นุตราวงศ์, ผู้แปล 2545 : 14-16 ) ให้คำจำกัดความของมาตรฐานเนื้อหา ( content standard) และมาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน ดังนี้
มาตรฐานเนื้อหา (content standard) ระบุองค์ความรู้ที่สำคัญ ทักษะและพัฒนาการด้านจิตใจ ดังนี้
1. จุดองค์ความรู้ที่สำคัญ (essential knowledge) ระบุถึง แนวความคิด ประเด็นปัญหา ทางเลือก กฎเกณฑ์ และความคิดรวบยอดในวิทยาการต่างๆที่สำคัญตัวอย่างเช่น
ผู้เรียนสามารถอธิบายช่วงเวลา และเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ และวิเคราะห์ช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น ชุมชน ในประเทศและภูมิและในภูมิภาคต่างๆของโลก
ผู้เรียนสามารถเข้าใจประวัติความเป็นมา และโครงสร้างของภาษาอังกฤษ (ประโยค ย่อหน้า บทความ ) ผู้เรียนสามารถเข้าใจธรรมชาติและการทํางานของเซลล์ ทั้งการทำงานเป็นเอกเทศและการทำงานร่วมกันเป็นระบบที่ซับซ้อน
2 . ทักษะ (skill) เป็นวิธีการคิด การทำงาน การสื่อสาร และการศึกษาสำรวจ ตัวอย่าง
ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการบรรยาย และอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ใช้ระเบียบวิธีการทางสถิติในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตีความ เปรียบเทียบ และสรุปผลเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงอื่นๆในสังคม
3 . พัฒนาการด้านจิตใจ (Habits of mind) การเรียนรู้และประสบการณ์จากการศึกษาทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน มีผลต่อพัฒนาการด้านจิตใจของผู้เรียน รวมถึงกระบวนการในการศึกษาค้นคว้าการแสดงข้อมูล หลักฐานสนับสนุนความคิด การอภิปรายโต้แย้ง และความพึงพอใจในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ตัวอย่าง
ผู้เรียนสามารถประเมินการเรียนรู้ของตนเอง โดยการสร้าง เกณฑ์เพื่อใช้ประเมินงานที่มีคุณภาพ
ผู้เรียนสามารถแสดงออกถึงความสามารถในการร่วมทำงานกับผู้อื่น การเป็นผู้นำ และความมั่นคงในตนเอง


มาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน
มาตรฐานการปฏิบัติ (student performance standards) จะบอกถึงคุณภาพ โดยที่มาตรฐานเนื้อหาจะระบุถึงสิ่งใดที่ผู้เรียนควรรู้ และทักษะใดที่ผู้เรียนควรทำได้ มาตรฐานการปฏิบัติจะบอกถึงระดับคุณภาพและระดับที่ผู้เรียนต้องรู้หรือต้องทำสิ่งนั้นได้ ตัวอย่าง
กรณีที่มาตรฐานเนื้อหาระบุว่า ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจข้อมูลจากสื่อ ภาพ และบทอ่านจากสื่อต่างๆ อย่างหลากหลาย
มาตรฐานการปฏิบัติ อาจจะระบุว่า ผู้เรียนควรอ่านหนังสืออย่างน้อยที่สุด 25 เล่มต่อปี เลือกอ่านบทอ่านที่มีคุณภาพทั้งที่เป็นเรื่องอมตะ และเรื่องราวที่ทันสมัย จากหนังสือวรรณกรรมสำหรับเด็ก หรือจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ เช่น จาก นิตยสาร หนังสือพิมพ์ หนังสือเรียน และสื่อเทคโนโลยี
 Wiggins (1994 ) จัดกลุ่มมาตรฐานการเรียนรู้ไว้ 4 กลุ่ม คือ
1. มาตรฐานผลลัพธ์หรือผลกระทบ (Impact) เป็นมาตรฐานที่ระบุผลที่ต้องการจากการปฏิบัติงานใดงานหนึ่งของผู้เรียน เช่น กำหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์เพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ฟัง หรือให้ผู้เรียนเขียนสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือให้ผู้เรียนใช้ความรู้ทางภูมิศาสตร์ในการวางแผนอนาคต เป็นต้น
2. มาตรฐานกระบวนการ (Process) เป็นมาตรฐานที่สะท้อนยุทธวิธี เทคนิค วิธีการที่เหมาะสมที่ใช้ในการปฏิบัติงาน เช่น มาตรฐานที่กำหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์อย่างชัดเจน หรือให้ผู้เรียนเขียนสื่อสารได้อย่างสละสลวยสัมพันธ์กัน หรือให้ผู้เรียนใช้กระบวนการที่เหมาะสมในการสร้างหรือปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์
3. มาตรฐานเนื้อหา (content) เป็นมาตรฐานที่ระบุเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด แนวความคิดและข้อมูลต่างๆ เช่น ผู้เรียนรู้สมบัติของสสารมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่าย และความต้องการของตลาด เป็นต้น
4. มาตรฐานที่แสดงกฎหรือรูปแบบ (Rule or from) เป็นมาตรฐานที่เกี่ยวกับสูตร กฎเกณฑ์ซึ่งมีรูปแบบเฉพาะ ปริมาตร ปริมาณ อัตราส่วน ตัวอย่าง ผู้เรียนสร้างกราฟซึ่งมีข้อมูลกำกับและใช้สีได้อย่างถูกต้อง มาตรฐานนี้เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ให้ผู้เรียนใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารต่างๆ
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ การกำหนดมาตรฐานในหน่วยการเรียนให้มาจากหลายมาตรฐาน จึงจะช่วยให้กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินมีความครอบคลุมยิ่งขึ้นการกำหนดมาตรฐานที่เป็นกระบวนการก็จะไม่มีความหมายหากไม่มีเนื้อหา หรือการกำหนดมาตรฐานที่มีเนื้อหาเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้เรียนเท่าที่ควร หากไม่มีการนำกระบวนการนำไปปรับใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
การวางแผนจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้
Joyce and We'll, (1996 :334) อ้างว่า มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ชี้ให้เห็นว่า การสอนมุ่งเน้นการให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง จะช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน การเรียนการสอน โดยจะสาระและวิธี การให้ผู้เรียนอย่างดีทั้งทางด้านเนื้อหา ความรู้ และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ (academic learning) เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด ผู้เรียนมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่เรียนและช่วยให้ผู้เรียนถึง 80% ประสบความสำเร็จในการเรียน นอกจากนั้นยังพบว่า บรรยากาศการเรียนที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้เรียนสามารถสกัดกั้นความสำเร็จของผู้เรียนได้ ดังนั้น ผู้สอนจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง ไม่ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากล่าว แสดงความไม่พอใจ หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน

การเรียนการสอนโดยตรง
การเรียนการสอนโดยตรง ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญสำคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นนำ
    1.1 ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน และระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมการเรียนรู้ที่คาดหวังแก่ผู้เรียน
    1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนอย่างคร่าวๆ
    1.3 ผู้สอนชี้แจงกระบวนการเรียนรู้ และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนแต่ละขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอบทเรียน
    2.1 หากเป็นการนำเสนอเนื้อหาสาระ ข้อความรู้ หรือมโนทัศน์ ผู้สอนควรกลั่นกรองและสกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น และนำเสนออย่างชัดเจน พร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่างประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ ต่อไปจึงสรุปคำนิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
    2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ ก่อนให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติ หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่ 3 ขั้นปฏิบัติตามแบบ (structured practice)
    ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้เข้ามูลป้อนกลับ ให้การเสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การกำกับของผู้ชี้แนะ (guided practice)
    ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ผู้โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆ ผู้สอนจะสามารถประเมินการเรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสำเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียนและช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียนแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ (independent practice)
    หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่ 4 ได้ถูกต้องประมาณ 85-90 % แล้ว ผู้สอนควรปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ เพื่อช่วยให้เกิดความชำนาญ และการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที สามารถให้ภายหลังได้ การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทำติดต่อกันในครั้งเดียว ควรมีการฝึกเป็นระยะระยะ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนนานขึ้น
    ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
    การเรียนการสอนแบบนี้ เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาจำกัด ไม่สับสน ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามความสามารถของตนจนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน และมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
สรุป การสอนโดยตรงโดยทั่วไปมี 3 ขั้นตอน ได้แก่
1 . การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
2 . การนำเสนอข้อมูลใหม่
3 . การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติ ให้ข้อมูลย้อนกลับ และการประยุกต์ใช้


ขั้นที่ 1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
    สร้างแรงจูงใจผู้เรียน ให้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ มี
ส่วนร่วมในการเรียนรู้ และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาระงานที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งงานเสร็จสิ้น
        ขั้นที่ 2 การนำเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
            การอธิบาย พยายามใช้การปฏิสัมพันธ์และการป้อนคำถามถามทีละขั้นตอน
            การสาธิต การเรียนการสอนที่ซับซ้อน ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนด ด้วยมีเครื่องมือจำกัดและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน
            ตำรา ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่า
            แบบฝึกหัดสําหรับผู้เรียน การฝึกเขียนการจัดระบบระเบียบและการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ
            โสตทัศนูปกรณ์ สร้างความน่าสนใจและแม่นยำในการนำเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
         ขั้นที่ 3 การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติให้ข้อมูลย้อนกลับ และการประยุกต์ใช้
             สาระเบื้องต้นคือ การยืนยันความถูกต้องเพื่อความแน่ใจ และการให้แนวคิดหรือข้อเสนอแนะ
             ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะต้องทำงานเป็นรายบุคคลแม้ว่าการทำงานเป็นกลุ่มจะเป็นที่ยอมรับก็ตาม
             โอกาสที่ผู้เรียนจะได้รับได้แก่: การตอบคำถาม การแก้ปัญหาการสร้างโครงสร้าง ต้นแบบ วาดแผนภูมิ สาธิตทักษะ เป็นต้น


การเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Methods : CLM) มีพื้นฐานแนวคิดที่ว่า ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด ก็ต่อเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อน เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง การเรียนรู้จากวิธีการนี้ ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สำรวจถึงความเป็นไปได้ คิดวิธีแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหา และท้ายที่สุดคือเสนอวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เชื่อว่าความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสท์ (constructivism) ที่เปลี่ยนแนวคิดในการจัดการศึกษาตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งระบุจุดประสงค์ (Domains of objective) ระดับความรู้ (Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement) เป็นแนวคิดในการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive theory) ที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง (Construct their own knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gammon & Collage 2001:1) ที่เป็นผลมาจากประสบการณ์และระเบียบแบบแผนทางความคิดของผู้เรียนแต่ละคน การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ มุ่งเตรียมผู้เรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่คลุมเครือ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบคอนสตรัคติวิสต์สนใจศึกษากระบวนการเรียนรู้ด้วยการกระทำของตนเอง เมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นบุคคลจะใช้โครงสร้างทางปัญญา (cognitive structure) ที่มีอยู่เดิมทำปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อนๆที่อยู่รอบข้าง ความขัดแย้งทางปัญญาจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการต่อไตร่ตรอง (reflection) อันเป็นกิจกรรมของการตรวจสอบ และปรับเปลี่ยนสมมติฐานทางความคิดด้วยเหตุและผล ซึ่งนำไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญาต่อไป
การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Methods : CLM) เชื่อว่า ความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด เมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อน เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สำรวจถึงความเป็นไปได้วิธีคิดแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหา และท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสร้างความต่อเนื่องระหว่างข้อมูลสารสนเทศใหม่กับความรู้เดิม การเรียนรู้เป็นผลของการผลิตหรือสร้างสรรค์ทางปัญญา มนุษย์จะเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด ถ้าหากได้ลงมือสร้างความหมายหรือความเข้าใจของตนด้วยตนเอง การเรียนรู้เกิดขึ้น เมื่อผู้เรียนสร้างโครงสร้างความรู้หรือความเข้าใจอย่างแข็งขันและมีเจตนามุ่งมั่นชัดเจน โดยผู้เรียนจะสลายความขัดแย้ง (Conflict Resolution) หรือความไม่เข้ากันของแนวคิดหรือข้อมูลต่างๆโดยการพินิจพิเคราะห์คำอธิบายหรือเหตุผลเชิงทฤษฎี มนุษย์สร้างโลกทัศน์ของตนเองขึ้นจากประสบการณ์จริงในเวลานั้น และโครงสร้างความรู้เดิมที่อยู่ในรูป Schema มนุษย์ใช้ schema ในการตีความหรือสร้างความหมายให้กับประสบการณ์หรือข้อมูลใหม่ เมื่อมีการเรียนรู้เกิดขึ้น จะมีการปรับ Schema ให้มีความครอบคลุม และมีประสิทธิภาพในการตีความที่สูงขึ้น
ในเรื่องกระบวนการเรียนการสอนผู้เรียนมีความสำคัญในฐานะผู้ที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุหรือปรากฏการณ์ โดยการสังเกตการวัดหรือประมาณการ การตีความ หรือการกระทำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจสร้างความคิดรวบยอดต่อสิ่งเหล่านั้น ผู้เรียนเป็นผู้สร้างแนวทางแก้ปัญหาของตนเอง ดังนั้น กลุ่ม จึงเห็นคุณค่าของความคิดริเริ่ม ความเป็นอิสระในความคิดของผู้เรียน และให้ความสำคัญและอิทธิพลของบริบทการการเรียนรู้และภูมิหลังเกี่ยวกับความเชื่อและเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้
      Murphy (1997: Online; citing Glasersfield 1999) อธิบายสรุปได้ว่า บุคคลสร้างความรู้โดยอาศัยการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและการสื่อสารในขณะที่ตนเองมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทำให้มีการปรับเปลี่ยนหรือจัดระบบประสบการณ์เดิมของตนเองใหม่ ดังนั้นความรู้จึงไม่สามารถถ่ายทอดจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ อธิบายการเรียนรู้ว่าไม่เกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนอง แต่การเรียนรู้เกิดจากการกำกับตนเอง (self - regulation) และการสร้างมโนทัศน์จากการสะท้อนความคิดซึ่งกันและกัน


เมอร์ฟี (Murphy 1997 : Online) รวบรวมแนวคิดของนักการศึกษาต่างๆ ในการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์สรุปได้ดังนี้
1. กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้มุมมองที่หลากหลายในการนำเสนอความหมายของมโนทัศน์
2. ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมายการเรียนของตนเองหรือจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนเกิดเกิดเกิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
3. ครูผู้สอนแสดงบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ ผู้กำกับ ผู้ฝึกฝน ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนของผู้เรียน
4. จัดบริบทของการเรียน เช่น กิจกรรม โอกาส เครื่องมือ สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมวิธีการคิดและการกำกัดและรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
5. ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างความรู้และกำกับการเรียนรู้ของตนเอง
6. จัดสถานการณ์การเรียน สภาพแวดล้อม ทักษะ เนื้อหาและงานที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริง
7. ใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิเพื่อยืนยันสภาพณการณ์ที่เป็นจริง
8. ส่งเสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ด้วยการเจรจาต่อรองทางสังคมและการเรียนรู้ร่วมกัน
9. พิจารณาความรู้เดิม ความเชื่อและทัศนคติของนักเรียนประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
10. ส่งเสริมการแก้ปัญหา ทักษะการคิดระดับสูงและความเข้าใจเรื่องที่เรียนอย่างลึกซึ้ง
11. นำความผิดพลาดความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
12. ส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาความรู้อย่างอิสระ วางแผนและการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง
13. ให้นักเรียนได้เรียนรู้งานที่ซับซ้อน ทักษะและความรู้ที่จำเป็นจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
14. ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ของเรื่องที่เรียน 15. อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียนโดยให้คำแนะนำหรือให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นต้น
16. วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริงขณะดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนจากแนวคิดของนักการศึกษาดังกล่าว
Gammon & Collateral (2001:2) ได้เสนอแนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist learning design) ว่าประกอบด้วย 6 ส่วนที่สำคัญได้แก่ สถานการณ์ (Situation) การจัดกลุ่ม (Grouping) การเชื่อมโยง (Bridge) การซักถาม (Question) การจัดแสดงผลงาน (Exhibit) และการสะท้อนความรู้สึกในการปฏิบัติงาน (Reflection) โดยในการออกแบบครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ครูผู้สอนวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และสะท้อนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน (Reflection about the process of student learning) กล่าวคือ ครูจะจัดสถานการณ์เพื่อให้นักเรียนอธิบายเรื่องกระบวนการในการจัดกลุ่ม (Grouping) นักเรียนหรือสื่ออุปกรณ์ สำหรับใช้ในการอธิบายสถานการณ์พยายามสร้างความเชื่อมโยง (Bridge) ระหว่างสิ่งที่เป็นความรู้เดิมของนักเรียนกับสิ่งที่นักเรียนต้องการจะเรียนรู้
สรุปคุณลักษณะของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ มีดังนี้
1. ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
2. การเรียนรู้สิ่งใหม่ขึ้นกับความรู้เดิมและความเข้าใจที่มีอยู่ในปัจจุบัน
3. การมีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมมีความสำคัญต่อการเรียนรู้
4. การจัดสิ่งแวดล้อม กิจกรรมที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนั้นตัวทฤษฎีเองไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนการสอน ไม่มีลำดับขั้นการสอน henrique (1997) ได้ศึกษาทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ และตีความทฤษฎีนี้ โดยพิจารณาจากมุมมองด้านปรัชญา ด้านจิตวิทยา ด้านยานฤทธิ์ยาและด้านการเรียนการสอนและจำแนกทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ได้ 4 แนวคิด ได้แก่
1. แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ แบบกระบวนการทางสมองในการประมวลผล (information processing approach) หรือแนวคิดแบบการประมวลผลข้อมูลนั้น ใช้พื้นฐานที่ว่านักเรียนเรียนรู้สิ่งที่เป็นความจริง ไม่ว่าจะเรียนจากครูหรือการได้รับประสบการณ์เรียนรู้ โดยการประมวลผลข้อมูลนี้ใช้หลักว่ามีความจริงเป็นกลางที่สามารถวัดและทำเป็นแบบได้ ตามหลักปรัชญาของพอสิทิวิสต์ (positivist philosophical tradition)
2. แนวคิดอินเตอร์เอกทีฟคอนสตัคติวิสท์ (interactive constructivist approach) แนวคิดแบบอินเทอแรกทิฟคอนสตรักติวิสต์ เป็นมุมมองที่ว่านักเรียนสร้างความรู้และเรียนรู้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่จับต้องได้และผู้คนรอบข้าง
3. แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม (social constructivist approach) แนวคิดแบบโซชัลคันสตรักติวิสต์แนวคิดนี้ใช้หลักการว่าความรู้เกิดขึ้นในระดับชุมชนเมื่อผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั้นมีปฏิสัมพันธ์กัน
4. แนวคิดเรดิคอลคอนสตรัคติวิสท์ (radical constructivist approach) แนวคิดแบบเรดิคอลคอนสตรัคติวิสต์ แนวคิดนี้เชื่อว่าความคิดมาหลากหลายล้วนแต่มีทางที่จะเป็นจริงได้ แนวคิดนี้จึงบอกว่าไม่มีความคิดใดเป็นจริงมากกว่ากัน
แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์ ทั้ง 4 แนวคิด มีข้อตกลงเบื้องต้นที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เหมือนกัน สรุปได้ 3 ประการคือ
1. การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายใต้ตัวบุคคล ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของตน ไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้แทนกันได้
2. ความรู้ความเข้าใจและความเชื่อที่มีอยู่เดิมส่งผลต่อการเรียนรู้
3. ความขัดแย้งทางความคิดเพื่ออำนวยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ เพื่อลดความขัดแย้งทางความคิด
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนทางการทางด้านการศึกษา กล่าวคือ เปลี่ยนจากรูปแบบการศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งเน้นในเรื่องเชาว์ปัญญา (Intelligence) จุดประสงค์ (Domains of objective) ระดับความรู้ (Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement) มาเป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive theory) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist learning) ที่มีความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gammon & Collateral 2001 : 1)
ข้อตกลงเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์
1. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เมื่อทำกิจกรรมการเรียนรู้
2. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือสร้างความหมาย เมื่อ
ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม
 3. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสังคม เมื่อต้องการนำความหมายที่ตนเองสร้างขึ้นไป มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
การเรียนรู้แบบสร้างความรู้ด้วยตนเองสรุปได้ 3 ขั้น
(http://www2.southeastern.edu/Academics/Faculty/rhancock/theory.htm#CM) ดังนี้ :
1. การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
2. การระบุการได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
3. การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ขั้นตอนที่ 1 การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
    ผู้เรียนแต่ละคนต่างมีความคิดดั้งเดิมและมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกหรือปรับเปลี่ยนมโนทัศน์ (แนวคิด) ดังกล่าว ความคิดของผู้เรียนนั้นท้าทายความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง ชักชวนให้ผู้เรียนเปลี่ยนแนวคิดและยอมรับความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
   กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 1
       สัมภาษณ์หรืออภิปรายกลุ่ม
       แบ่งกลุ่มข้อมูลหรือจำแนกข้อมูล
        แบ่งกลุ่มข้อมูล เรียงลำดับข้อมูลตามลักษณะบางประการ (เช่น มวลสาร)     
        จำแนกข้อมูล จัดกลุ่มวัตถุโดยใช้ลักษณะทางคุณภาพหรือปริมาณ (สี รูปร่าง ขนาด)
        แผนที่ความคิดหรือแผนมโนทัศน์ ระดมสมองที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก    
        เหตุการณ์ที่ขัดแย้ง เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล
ขั้นตอนที่ 2 การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
    การวางแผนแบบร่วมกัน การวางแผนเครื่องมือที่สร้างแรงจูงใจที่เข้มแข็ง ผู้เรียนได้รับข้อมูลว่าจะต้องเรียนรู้อะไรจากหัวข้อบ้าง อภิปรายเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ ให้ขอบข่ายสาระสำคัญในเรื่องที่เรียนรู้
    กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 2
        นักจัดการขั้นสูง (advance organizers) ข้อมูลใหม่เชื่อมโยงเข้ากับความรู้เก่าที่มีอยู่แล้วได้อย่างไร
        อภิปัญญา (meta-cognition) ผู้เรียนกำกับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้นำในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
        เทคนิควิทยาศาสตร์ (techno-sciencing) ใช้กิจกรรมเป็นฐานประกอบคำอธิบายตัดสินใจด้วยตนเอง ปรัชญาส่วนบุคคล การใช้ความคิดอุปมาอุปไมย ใช่แนวคิดที่คุ้นเคยนำแนวคิดแบบอุปมาอุปไมยมาใช้
ขั้นตอนที่ 3 การยืนยันคำถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
    ผู้เรียนได้รับข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้
    ความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นของคนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม    
    ความรู้ถูกทำให้กระจ่างและยืนยันความถูกต้องเมื่อผู้เรียนนำความรู้ใหม่ไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์
    ความรู้ได้รับจะถูกปรับแต่งตามข้อมูลย้อนกลับที่ได้รับ
    กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 3
·      การเรียนรู้แบบร่วมมือ สร้างความเข้าใจและแสดงออกในรูปการใช้โมเดลช่วยในการสร้างความเข้าใจ และยังสาธิตมโนทัศน์ของความเข้าใจ หลักการ และกระบวนการที่เป็นเลิศเทคนิคที่ใช้ในการแสวงหาความรู้และการยืนยันความถูกต้องของความรู้
·      การทดลอง/การออกแบบและเทคโนโลยี ใช้สืบเสาะหาความรู้เป็นฐาน
·      วิธีการแบบบูรณาการ สร้างความเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อ คำถามและแนวคิดอื่นๆ
·      สาขาวิชา (แนวคิดหลัก) การประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง ช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงสอดคล้องทฤษฎีและการปฏิบัติ


กลยุทธ์การสอนที่มีประสิทธิภาพตามแนวคิดของมาร์ซาโน
การตั้งจุดมุ่งหมายจุดประสงค์ ( Setting objectives) แนวทางการตั้งจุดประสงค์ มีดังนี้ 1) ตั้งจุดประสงค์ให้ชัดเจนตามกฎเกณฑ์แต่ไม่ตายตัว 2 )สื่อสารจุดประสงค์ให้กับผู้เรียนและครอบครัวได้เข้าใจตรงกัน 3) เชื่อมโยงจุดประสงค์การเรียนรู้กับสิ่งที่เรียนรู้เดิมและการเรียนรู้ใหม่ 4) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้ของตนเอง
        การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Providing Feedback) การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เกี่ยวกับจุดประสงค์การเรียนรู้และนำไปสู่การพัฒนาการปฏิบัติและความเข้าใจ ซึ่งแนวทางการให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1) ข้อมูลย้อนกลับจะต้องมีความถูกต้องและละเอียดในสิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้และเป็นประโยชน์ต่อไป 2) การให้ข้อมูลย้อนกลับควรคำนึงถึงเวลาที่เหมาะสมและจำเป็น 3) การให้ข้อมูลย้อนกลับควรมีเกณฑ์อ้างอิงชัดเจน 4) ควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลย้อนกลับ
         การให้การเสริมแรง (Reinforcing effort) มีวิธีการดังนี้ 1) สอนนักเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเสริมแรงและผลสัมฤทธิ์ 2) แจ้งผู้เรียนให้ชัดเจนในวิธีการ กระบวนการในการให้แรงเสริม 3) ถามผู้เรียนถึงผลที่เกิดจากการเสริมแรงสู่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
         การให้การยอมรับ (Providing Recognition) มีวิธีการดังนี้ 1) ส่งเสริม เป้าหมายมุ่งเน้นการเป็นผู้รอบรู้ 2) ให้การยกย่อง สำหรับสิ่งที่เป็นไปตามความคาดหรือทางในด้านการปฏิบัติและพฤติกรรม 3) ใช้สัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม ในการแสดงการยอมรับ เป็นการให้รางวัล
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีวิธีการดังนี้ 1) ควรยึดหลักของการมีปฏิสัมพันธ์ทางบวกและการรับผิดชอบในความสำเร็จส่วนบุคคล 2) จัดเป็นกลุ่มเล็ก 3-5 คน 3) ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างสอดคล้องและเป็นระบบ
การใช้การแนะนำและคำถาม (Cues and Questions) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้เฉพาะประเด็นที่สำคัญ 2) ให้คำแนะนำที่ชัดเจน 3) ถามคำถามเชิงอนุมาน 4) ถามคำถามเชิงวิเคราะห์
การให้มโนทัศน์ล่วงหน้า (Advance Organizers) มีวิธีการดังนี้ 1) การใช้อธิบายในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า 2) ใช้การบรรยายในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า สามสายสรุปภาพรวมในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า 4 ใช้กราฟิกในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า
การใช้ภาษากายแสดงออก (Nolinguistic Representations) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้กราฟิกในการนำเสนอ 2) จัดกระทำหรือทำตัวแบบ 3) ใช้รูปแสดงความคิดนำเสนอ 4) สร้างรูปภาพ,สัญลักษณ์
สรุปแล้วจดบันทึก (Summarizing and note taking) มีวิธีการดังนี้ 1) สอนนักเรียนให้รู้จัก วิธีการบันทึก สรุป ที่มีประสิทธิภาพ 2) ใช้แบบฟอร์มการสรุป 3) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการบันทึกการสอนซึ่งกันและกัน
การให้การบ้าน (Assigning Homework) มีวิธีการดังนี้ 1) พัฒนาและสื่อสาร นโยบายการมอบหมายการบ้านของโรงเรียน 2) การออกแบบการบ้านที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ทางวิธีการ 3) ให้ข้อมูลย้อนกลับในงานที่มอบหมาย
การให้ฝึกปฏิบัติ (Providing Practice) มีวิธีการดังนี้ 1) ต้องบอกถึงวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติอย่างชัดเจน 2) การออกแบบการปฏิบัติที่เจาะจงและเวลาเหมาะสม 3 )ให้ทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหา
การบอกความเหมือนและความแตกต่าง (Identifying Similarity) มีวิธีการดังนี้ 1) วิธีการบอกความเหมือนความแตกต่างที่หลากหลายวิธี 2 ) แนะนำนักเรียนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการของการกำหนดความเหมือนความแตกต่าง 3 ) ให้คำแนะนำที่ช่วยให้นักเรียน กำหนดความเหมือนความแตกต่างได้
การสร้างและทดสอบสมมติฐาน (Generating and testing Hypotheses) มีวิธีการดังนี้ 1) ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ในรูปแบบของการสร้างและทดสอบสมมติฐานที่หลากหลาย 2 )การและให้นักเรียนอธิบายสมมติฐานและข้อสรุปได้

สรุป
มิติใหม่อนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามแนวคิด Bloom's Taxonomy และ Marzano's Taxonomy เป็นแนวทางให้นักศึกษาวิชาชีพครูสามารถจัดการเรียนรู้และจัดการชั้นเรียน ด้วยการกำหนดจุดหมาย รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ ยุทธวิธีและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการติดตามดูแลปรับปรุงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการต่างๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้นักศึกษาวิชาชีพครู สามารถนำมาออกแบบและพัฒนาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน) ได้แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริม Meta-cognition สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู นักศึกษามีแนวทางในการพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในการกำหนดจุดหมายในการเรียนรู้และกำกับตนเองให้ไปถึงจุดหมายดังกล่าว อันเป็นประโยชน์โดยตรงกับการพัฒนาวิชาชีพครู


ตรวจสอบและทบทวน
ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้น การกำหนดจุดหมายการเรียนรู้ ปฏิบัติการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ด้วยการระบุสาระ มาตรฐานและตัวชี้วัด จากหลักสูตรที่ตรงกับสาขาวิชาเอกหรือกลุ่มสาระที่สนใจแล้วเขียนข้อความที่แสดงว่าผู้เรียนจะเรียนรู้อะไร และสามารถทำอะไรได้ ข้อความที่เป็นความรู้ โดยการระบุความรู้ในรูปของสารสนเทศ (declarative knowledge) ( เช่น ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ เรื่อง...) และข้อความที่เป็นการปฏิบัติ โดยการระบุทักษะ การปฏิบัติ หรือกระบวนการ (procedural knowledge) ( เช่น ผู้เรียนสามารถที่จะปฏิบัติหรือกระทำเรื่อง...)





























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น